'7 นวัตกรรมทางการแพทย์' ฝีมือนักวิจัยไทย สร้างรายได้ SMEs กว่า 321 ล้าน!
เปิด '7 นวัตกรรมทางการแพทย์' ฝีมือนักวิจัยไทย ที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพฯ หรือบัตรทอง 30 บาท เพื่อให้คนไทยเข้าถึงการรักษา ล่าสุดมีผู้ป่วยที่รับประโยชน์กว่า 105,000 คน สร้างรายได้ให้ SMEs กว่า 321 ล้านบาท
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สปสช. สนับสนุนผลงานของนักวิจัยและบริษัทไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยนำนวัตกรรมที่ได้รับการบรรจุในบัญชีนวัตกรรมไทยเข้าสู่สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท)
“การนำนวัตกรรมของไทยเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการแพทย์ในราคาที่เหมาะสม ทั้งยังช่วยลดต้นทุนบริการสุขภาพ สร้างตลาดให้กับนวัตกรรมไทย เสริมสร้างศักยภาพของ SME ให้มีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ปัจจุบันมีการเปิดเผยจาก สปสช. ว่ามีผู้ป่วยกว่า 105,000 คน ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมทั้งหมดนี้ สามารถสร้างรายได้ให้ SMEs กว่า 321 ล้านบาท โดย เมื่อวันที่ 28 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการนำ 7 นวัตกรรมทางการแพทย์ไปจัดนิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมการแพทย์ไทย ในระหว่างงานประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล (PMAC) ประจำปี 2568 ประกอบด้วย
เท้าเทียมไดนามิกเอสเพส (sPace)
พัฒนาโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกบรรจุเข้าสู่สิทธิประโยชน์เมื่อเดือน มีนาคม 2567 ทำให้คนพิการสามารถเข้าถึงเท้าเทียมที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติและความอ่อนนุ่มคล้ายคลึงกับเท้าธรรมชาติ
ชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับสำเร็จรูปชนิดเร็ว (OV-ATK)
พัฒนาโดยสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งสามารถตรวจหาการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับได้ภายใน 15 นาที ป้องกันโรคมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งเป็นมะเร็งที่อันตรายถึงชีวิต
แผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจากไทเทเนียม
สปสช.ได้บรรจุแผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจากไทเทเนียมเข้าสู่สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อเดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา โดยนวัตกรรมนี้พัฒนาโดยบริษัทเมติคูลี่ จำกัด ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และมหาวิทยาลัยมหิดล และมีผู้ป่วยที่ต้องการกะโหลกศีรษะเทียมมากถึง 7,000-20,000 คน
ทั้งยังมี สิทธิประโยชน์ แผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจาก ผลิตจากวัสดุ Polymethylmethacrylate ด้วยการพิมพ์ 3 มิติ คิดค้นโดยบริษัท คัสตอมไมซ์ เทคโนโลยี จำกัดทำให้ลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัดกะโหลกศีรษะ
ถุงทวารเทียม
เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถขับถ่ายของเสียได้เองตามช่องทางปกติ โดยเฉพาะเป็นผลพวงจากการป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในไทย ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวต้องใส่อุปกรณ์ถุงทวารเทียม หรือชุดรองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียม (Colostomy Bag) ตลอดเวลา ทำให้ปริมาณที่ต้องใช้มีจำนวนมากในแต่ละปี ที่ผ่านมาไทยได้นำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาแพง ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งไม่มีงบเพียงพอในการจัดซื้อ จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนาขึ้น โดยใช้วัสดุเป็นยางพาราธรรมชาติ โดยมีการนำมาใช้ในระบบสิทธิประกันสุขภาพแล้วตั้งแต่ปี 2562
วัคซีนป้องกันโรคไอกรน ชนิดไร้เซลล์ (Pertussis (acellular): aP
พัฒนาโดยบริษัทไบโอเนท ได้บรรจุเข้าสิทธิประโยชน์บัตรทองสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 จากข้อมูลระบาดวิทยาของโรคไอกรนพบว่าแนวโน้มของผู้ป่วยรายงานโรคไอกรนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ยังไม่ได้รับหรือได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของโรคไอกรนไม่ครบถ้วน สำหรับการป้องกันโรคไอกรนในเด็กเล็กนั้น มาตรการหนึ่งที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือ การให้วัคซีนที่มีส่วนประกอบของโรคไอกรนแก่หญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันต่อโรคไอกรนที่แม่สร้างขึ้นถ่ายทอดไปสู่ทารกในครรภ์
รากฟันเทียม
รากฟันเทียมที่พัฒนาโดยมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยกว่า 10,000 คนเข้าถึงบริการฝังรากฟันเทียมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตั้งแต่ดำเนินการเมื่อเดือน ต.ค. 2565 จากเดิมที่ผู้ป่วยไม่สามารถจ่ายให้กับรากฟันเทียมนำเข้า ซึ่งมีราคาประมาณ 50,000-120,000 บาทต่อซี่
ด้าน ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS กล่าวว่า TCELS ได้ร่วมกับ สปสช. ในการสนับสนุนนวัตกรรมการแพทย์ไทยให้สามารถขยายตัวในเชิงพาณิชย์ พร้อมกับการสร้างประโยชน์ต่อสังคม
“การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไทย แต่ยังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีการแพทย์ที่มีราคาสูงจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ป่วยและอุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศ” ดร.จิตติ์พร กล่าว