แด่ 'วันคนโสด' โสดเกษียณอย่างไรให้ไม่เป็นภาระตนเอง

รายงานสภาวะสังคมของสภาพัฒน์พบว่า สถานการณ์คนโสดในปี 2566 พบว่ากว่า 1 ใน 5 (23.9%) ของคนไทยเป็นคนโสด และคนโสดในช่วงวัยเจริญพันธุ์ (15-49 ปี) กลับมีสัดส่วนถึง 40.5% หรือสูงกว่าภาพรวมประเทศอีกเท่าตัว ส่วนคนโสดในช่วงวัยเจริญพันธุ์ (15-49 ปี) เพิ่มขึ้นจาก 35.7% ในปี 2560 เป็น 40.5% ในปี 2566

นอกจากนี้คนโสดส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่เขตเมือง โดยกรุงเทพมหานครมีสัดส่วนคนโสดต่อประชากรสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น และ 1 ใน 3 ของคนโสดจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไป ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อยู่ที่ชาย 25.7% และหญิง 42% และยังมีสถิติการหย่าร้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

การเป็นคนโสดแม้จะมีข้อดีที่อิสระเสรีหลายอย่าง แต่ก็มีสิ่งที่คงอยู่ในความกังวลของประชาชนโดยเฉพาะในเรื่องความเจ็บป่วยยามแก่เฒ่า รวมไปถึงภาวะทางเศรษฐกิจการเงิน ที่ต้องรับผิดชอบตนเอง บางคนก็ต้องรับผิดชอบพ่อ-แม่ กว่าจะเก็บเงินเพื่อไว้ให้ตนเองก็อาจจะช้าไม่ทันการณ์เสียแล้ว

 

 

กองทุนการออมแห่งชาติของกระทรวงการคลัง และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ให้คำแนะนำเคล็ดลับสำหรับวิถีคนโสด ไว้ได้แก่ 

 

ลดรายจ่าย ไม่สร้างหนี้ โดยต้องระมัดระวัง "พฤติกรรมการใช้จ่ายเงิน" โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ถ้ามีการวางแผนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้จะสามารถเพิ่มยอดเงินในกระเป๋าสตางค์ได้อีกเยอะ รวมถึงต้องระวังการสร้างหนี้สินโดยไม่จำเป็นอีกด้วย  

 

มีบัญชีเงินออม สำรองไว้ยามฉุกเฉิน ซึ่งควรมีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน นอกจากนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ยังเคยลงบทความไว้ว่าควรเตรียมเงินสำหรับพ่อแม่ป่วยฉุกเฉิน เพราะถึงแม้คิดจะเป็นโสด แต่ยังมีพ่อแม่ที่ต้องคอยดูแล ดังนั้น นอกจากจะวางแผนการเงินให้ตัวเองแล้วก็ต้องวางแผนให้ท่านทั้งสองด้วย โดยเฉพาะเมื่อท่านป่วยฉุกเฉินก็จะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา

ซึ่งตามหลักการการออมเงินเพื่อใช้ยามฉุกเฉิน อย่างน้อยๆ คือ 3 เดือน ของค่าใช้จ่ายรายเดือน เช่น หากใช้จ่ายเดือนละ 15,000 บาท ควรมีเงินออมเผื่อฉุกเฉิน 45,000 บาท แต่เมื่อจะใช้ชีวิตโสด ไม่มีใครคอยดูแลหรือคอยแชร์ค่าใช้จ่าย ดังนั้น ควรมีเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 6 เดือน นั่นคือ 90,000 บาท (15,000 x 6 เดือน)

ส่วนวิธีการออมเงินเพื่อใช้ยามฉุกเฉิน คือ ทุกเดือนต้องกันเงิน เช่น 10% ของเงินเดือน ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝาก กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น เป็นต้น

 

วางแผนลงทุน ให้เงินเก็บงอกเงย   โดยการวางแผนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เช่น การซื้อสลากออมทรัพย์ ซื้อกองทุนรวม หรือจะนำไปฝากธนาคาร สำหรับเทคนิคบริหารเงินที่ธนาคารไทยพาณิชย์ เคยแนะนำไว้ในการวางแผนการลงทุนซึ่งอาจแบ่งเป็น 3 ส่วนได้แก่

 

• จัดสรรเงินไว้ใช้สำหรับช่วง 3 ปีแรกหลังเกษียณ

สมมติว่ามีเป้าหมายจะใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 20,000 บาท แสดงว่า 3 ปีแรก (36 เดือน) จะต้องใช้เงิน 720,000 บาท โดยเงินจำนวนดังกล่าวจะต้องนำไปออมไว้ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เช่น บัญชีเงินฝาก กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น

• จัดสรรเงินไว้ใช้ในช่วงปีที่ 4 - 10

โดยนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงระดับต่ำถึงปานกลาง เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล

• จัดสรรเงินไว้ใช้ตั้งแต่ปีที่ 11 หลังเกษียณเป็นต้นไป

โดยนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงระดับสูง เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) หรือกองทุนรวมหุ้น แต่กรณีไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ไม่ควรลงทุนเกิน 10 - 15% ของพอร์ตลงทุน

 

 

นอกจากนี้ ยังควรเตรียมใจ-เตรียมร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ รวมไปถึง เตรียมเพื่อน เพื่อพบปะพูดคุยทำกิจกรรมร่วมกัน ที่สำคัญคือการเตรียมที่อยู่ เพราะเมื่ออยู่คนเดียวจะต้องมีภาระหน้าที่รับผิดชอบบ้านหนึ่งหลังตามลำพัง ซึ่งจะเป็นภาระอย่างใหญ่หลวงในอนาคต หากคิดเป็นโสดไปตลอดชีวิต อาจสามารถประหยัดเรื่องค่าใช้จ่ายหลังเกษียณได้ เช่น ที่อยู่อาศัยก็มีขนาดเล็กลง หรือคอนโดมิเนียม 1 ห้อง ขนาดพอเหมาะกับการใช้ชีวิตคนเดียว หรือบางคนไม่ต้องซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ เพราะอาศัยอยู่ร่วมกับพ่อแม่เพื่อคอยดูแลท่าน และไม่จำเป็นต้องซื้อรถยนต์ เพราะใช้ระบบขนส่งมวลชนในการเดินทางแทน ดังนั้น จึงสามารถไปเน้นการลงทุนเพื่อเตรียมเงินไว้ใช้หลังเกษียณได้.