วิกฤตศรัทธา ถาม! 'ประกันสังคม' 1.4 แสนล้านยังไงต่อ?
อดีตนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน จี้งบประมาณของประกันสังคมที่เหลือจาก 4 กรณี (เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต คลอดบุตร) ในแต่ละปีสามารถก่อประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่านี้ หลังมีงบเหลือจากกองทุนเหยียบ 1.4 แสนล้าน! ซึ่งเท่ากับประชาชนไม่ต้องจ่าย 1.5% ของจำนวนเงินสมทบได้หลายปี!
ประเด็นหนึ่งที่ผู้ประกันตนซึ่งเป็นประชาชนคนไทยคับข้องใจและคงอยากจะตั้งคำถามกับ ‘ประกันสังคม’ คือสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขนั้นเพียงพอหรือ? แล้วทำไมก่อให้เกิดความกังวลถึงความไม่มั่นคงของหลักประกันสุขภาพที่รัฐมอบให้ได้มากขนาดนี้ จนกระทบกับคุณภาพชีวิตของตนเอง!
แน่นอนว่า ช่วงที่ผ่านมาประเด็นร้อนแรงที่ทำให้ รมว.กระทรวงแรงงานต้องออกมาชี้แจง คือประเด็นที่โรงพยาบาลเอกชน จ่อจะออกจากระบบประกันสังคม หลังจากที่มีการลดเงินสนับสนุนในหมวดโรคค่าใช้จ่ายสูงจนทางโรงพยาบาลมองว่าไม่เหมาะสม ... สิ่งนี้ได้รับการยืนยันจากระทรวงภายหลังว่าจะมีการแก้ปัญหา และพยายามจะคงอัตราเดิมไว้
เช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ที่มีแนวคิดว่าประกันสังคมอาจจะนำเงินไปซื้อประกันชีวิตของบริษัทเอกชน เพื่อเป็นสิทธิประโยชน์ให้แก่ประชาชนเพิ่มเติมเป็นแบบเหมาจ่ายให้บริษัทประกันฯแล้วให้บริษัทเป็นผู้รับผิดชอบการดูแลรักษาพยาบาลของผู้ประกันตน เพื่อให้ประกันสังคมสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นแบบ Fix Cost และทำให้การบริหารง่ายขึ้น! ไปจนถึงการเพิ่มผลตอบแทนด้วยการลงทุนในต่างประเทศ และการดึงแรงงานนอกระบบให้เข้าสู่ระบบ ม.33 เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มเงินในกองทุนให้ได้
เนื่องจากภาระยิ่งใหญ่ที่ทางสำนักงานต้องเจอแน่ๆ คือ ‘ปัญหาจากสังคมสูงวัย’ ที่จะสร้างภาระพึ่งพิงและใช้งบประมาณมากขึ้น จนมีการคาดการณ์จากหลายสำนักว่าอาจะมีภาวะ ‘เงินหมด’ ในปี 2597 และประกันสังคมต้อง ‘จัดการ’ วิกฤตครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นตัวสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญ บางรายมองว่าคงไม่มีกองทุนไหนที่จะมองให้กองทุนของตนเจ๊ง! ทั้งๆ ที่เห็นปัญหาล่วงหน้ากว่า 20 ปี
และเมื่อเหลือบดูงบประมาณคงเหลือทุกวันนี้ของกองทุนที่มีเงินสะสมมากกว่า 2.6 ล้านล้านบาท! ก็ตอกย้ำว่ากองทุนยังคงพอมีเวลาหายใจและแก้ปัญหา ไม่ใช่จะล้มละลาย หากมีการบริหารจัดการที่ดีกว่าเดิม!
โพสต์ทูเดย์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ นายแพทย์พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช อดีตนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งคลุกคลีอยู่กับสิทธิประโยชน์อย่าง ‘ประกันสังคม’ ในส่วนของหมวดค่ารักษาพยาบาล ซึ่งชี้ให้เราได้เห็นข้อมูลบางส่วนที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
“ ในกองทุนประกันสังคมมีทั้งหมด 3 กองใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ กองที่เรียกว่า 4 กรณี คือ รักษาพยาบาล ทุพพลภาพ เสียชีวิต และคลอดบุตร เป็นกองทุนที่ใช้จ่ายปีต่อปี ที่เก็บเงินจากเรา 1.5% นายจ้าง 1.5% และรัฐบาลต้องออกสมทบอีก "
1.5% คือตัวเลขเมื่อพูดถึงสัดส่วนของการเก็บเงินประกันสังคมซึ่งจะเก็บ 5% ของเงินเดือน โดยแบ่งเป็น 1.5% จะใช้ดูแล 4 กรณี 0.5% ประกันการว่างงาน และ 3% เงินสงเคราะห์บุตรและเงินออมยามเกษียณ หากคิดที่ฐานเงินเดือน 15,000 บาท เท่ากับว่าในแต่ละเดือน เราจะส่งเงินเข้าระบบ 225 บาทสำหรับดูแลเรื่อง 4 กรณี 75 บาทสำหรับประกันการว่างงานและถูกเลิกจ้าง และ 450 บาทสำหรับเงินสงเคราะห์บุตรและเงินออมยามเกษียณ
และจากรายงานประจำปีของสำนักงานประกันสังคมปี 2562 พบว่ามีการเก็บรายรับในส่วนนี้จากผู้ประกันตนเฉพาะในมาตรา 33 และ 39 ในประเด็น 4 กรณี ราว 76,000 ล้านบาท (ในช่วงเวลาก่อนการเกิดโควิด ซึ่งสะท้อนสถานการณ์ปกติของประเทศ)
“ แต่เค้าจ่ายให้โรงพยาบาลแบบเหมาจ่ายประมาณไม่ถึง 2,000 บาท บวกภาระเสี่ยงก็ไม่ถึง 3,000 บาท แสดงว่าที่เหลืออีกราว 5,000 อยู่ตรงไหน ก็จะต้องไปอยู่ตรงคลอดบุตร ซึ่งถามว่าคลอดเยอะหรือไม่ ทุพพลภาพชั่วคราวและถาวร หรือเสียชีวิตจะเยอะมากน้อยเท่าไหร่” นายแพทย์พงษ์พัฒน์อธิบายเพิ่มเติม
โพสต์ทูเดย์พบข้อมูล ผลการดำเนินการกองทุนประกันสังคม ไตรมาส 1 ปี 2567 ระบุรายละเอียดผู้ประกันตนที่ใช้บริการและงบประมาณที่ใช้ในไตรมาส 1 ปี 2567 (ม.ค.-มี.ค.) ไว้ว่า
- กรณีเจ็บป่วย ราว 10,303,029 ราย จำนวนเงิน 11,856 ล้านบาท
- กรณีคลอดบุตร ราว 52,819 คน จำนวนเงิน 1,450 ล้านบาท
- กรณีทุพพลภาพ ราว 20,662 คน จำนวนเงิน 287 ล้านบาท
- กรณีเสียชีวิต ราว 8,625 คน จำนวนเงิน 705 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบงบประมาณของกองทุนในส่วน 4 กรณีก่อน-หลังโควิด 19
โพสต์ทูเดย์เปรียบเทียบในส่วนของสิทธิประโยชน์ 4 กรณีนี้ พบว่าในปี 2565 ได้ใช้เงินจากกองทุนราว 107,754 ล้านบาท จากยอดผู้มารับบริการราว 45 ล้านราย ซึ่งถือเป็นช่วงที่มีสถานการณ์พิเศษของโควิด-19 แต่หากย้อนดูก่อนหน้าการเกิดโควิดในปี 2562 สิทธิประโยชน์ส่วนนี้จะใช้เป็นจำนวนเงินราว 6 หมื่นล้านบาท และในปี 2563 จำนวนเงินราว 6.4 หมื่นล้านบาท ส่วนในปี 2566 มีตัวเลขผู้ประกันตนที่เข้ารับการรักษาราว 38 ล้านราย และมีรายจ่ายราว 7 หมื่นล้านบาท
- 2 แนวทางใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์ - สร้างความยั่งยืนให้กองทุน
นายแพทย์พงพัฒน์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในปี 2567 “สรุปแล้วทุกวันนี้เงินที่เหลือจาก 4 กรณีนี้มีเหลือสะสมเกือบ 2 แสนล้านบาท” ส่วนในเอกสารที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมมีถึงปี 2565 ระบุว่าเงินในกองทุนสะสมที่เหลือในส่วนนี้อยู่ที่ราว 1.46 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 38,425 ล้านบาท แต่ในผลการดำเนินการไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่าจำนวนเงินลดลงเหลือประมาณ 1.36 แสนล้าน
“ กองทุนนี้เป็นกองทุนที่ปีต่อปี คือเงินมาทุกปี เราสามารถใช้ให้หมดได้ หรือเหลือสำรองแค่ปีสองปี กองทุนส่วนนี้เหลือทุกปี ปีละกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท จนกระทั่งเงินสะสมอยู่ที่เกือบ 2 แสนล้าน .. ซึ่งสถานการณ์นี้เป็นมาตลอด
และโดยตัวกฎหมายการใช้เงินในแต่ละกองทุนต้องมีความชัดเจน หากมีเงินเหลือวิธีการจัดการมีสองอย่างคือ หนึ่งเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตน ต้องเยอะกว่า 30 บาท เพราะเงินที่ได้มาเป็นเงินของผู้ประกันตนเองส่วนหนึ่ง เราต้องทำจนกระทั่งคนที่อยู่ในประกันสังคมรู้สึกว่าอยากจ่ายเงินเพราะคุ้ม คนที่อยู่นอกกองทุนก็อยากที่จะย้ายเข้ามาในกองทุนนี้ กองทุนก็จะยิ่งมีความแข็งแรงและใหญ่ขึ้น
หรือวิธีที่สองถ้าไม่อยากพัฒนาให้ดีกว่านี้ก็คืนเงินไป ลดเหลือ 1% ก็ได้ เพราะสองแสนกว่าล้านเท่ากับไม่ต้องเก็บ 3 ปีก็ยังได้ แต่การไปลดจะมีความเสี่ยงมากกว่า”
สุดท้าย นายแพทย์พงษ์พัฒน์ได้พูดถึงประโยคที่เป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการ ในยุคที่ทุกคนเรียกหาความยั่งยืน ‘ประกันสังคม’ ที่บอกว่าตนเองจะเป็นหลักประกันและความมั่นคงให้แก่ประชาชนคนไทย
“เขาต้องทำให้กองทุนยั่งยืน แต่ตอนนี้ยั่งยืนเพราะใช้กฎหมายบังคับ ความยั่งยืนที่แท้จริงต้องให้กองทุนนี้ได้รับความนิยมต่างหาก”
ปัญหาที่สำคัญกว่า 'เงินหมด' จึงตกเป็นประเด็น ปัญหาความเชื่อใจของประชาชนต่อกองทุนซึ่งต่ำมากต่างหาก ซึ่งเป็นประเด็นที่ประกันสังคมต้องแก้ไข เพราะชี้ถึงความโปร่งใสของการทำงานและประสิทธิภาพของการบริหารจัดการ เพราะหากแก้ได้ก็ยังสามารถมีช่องว่างที่จะหารายได้เข้ากองทุนเพิ่มเติมอย่างที่คาดหวัง!


