นวัตกรรมยาเบาหวานยุคใหม่! ทานแล้วน้ำหนักไม่เพิ่ม ไม่เสี่ยงต่อไตพัง
สำรวจนวัตกรรมยาเบาหวานยุคใหม่ พบกลบจุดบอดทานแล้ว ไม่เกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดและน้ำหนักตัวไม่เพิ่มหลังการรักษา อีกทั้งยังสามารถชะลอการเสื่อมของไต และการเกิดโรคหัวใจ ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานอันดับต้นๆ
ศ.คลินิก นพ.ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์ นายกสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคเบาหวานเป็นปัญหาสำคัญของคนไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะในยุคที่การใช้ชีวิตของคนเรามีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น ทำให้มีผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มจำนวนมากขึ้นในทุกๆ ปี
โรคเบาหวานเกิดจากความผิดปกติของร่างกายในการนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์จากภาวะที่ขาดฮอร์โมนอินซูลินและหรือภาวะดื้อต่ออินซูลิน เป็นผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติในผู้ป่วยเบาหวานมีความสำคัญในการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ของโรคเบาหวาน ได้แก่ โรคไตวาย ตาบอด และโรคหัวใจและหลอดเลือด
- การรักษาโรคเบาหวานในปัจจุบัน
สำหรับการดูแลรักษาโรคเบาหวานในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี ได้แก่ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีการเหล่านี้มีความสำคัญในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายๆ ไป เนื่องจากผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลและปัจจัยร่วมที่แตกต่างกัน ปัจจุบันมียาใหม่ๆ ที่สามารถเป็นทางเลือกเพื่อให้การดูแลรักษาโรคเบาหวานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ความก้าวหน้าของนวัตกรรมยารักษาโรคเบาหวาน
ในช่วงแรกเริ่มของการรักษาโรคเบาหวานมีการใช้ยาฉีดอินซูลินและยาเม็ดในกลุ่ม sulfonylurea ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งข้อเสียของยา 2 กลุ่มข้างต้นที่สำคัญ คือ การเกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นหลังการรักษา นอกจากนี้ ยังมียาเม็ด metformin ซึ่งไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดและน้ำหนักตัวที่ไม่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมียาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการรักษาโรคเบาหวาน โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นยารับประทาน ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สะดวกในการใช้วิธีการฉีดยา ได้แก่
1. GLP-1 Receptor Agonists
ยาในกลุ่ม GLP-1 Receptor Agonists ทำงานโดยการกระตุ้นตัวรับ GLP-1 ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดเดียวกับฮอร์โมนในร่างกายที่ถูกผลิตขึ้นจากลำไส้ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง โดยยาจะออกฤทธิ์เฉพาะเวลาที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะไม่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยในการลดน้ำหนักซึ่งเป็นข้อดีที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มักมีปัญหาน้ำหนักเกินได้ด้วย
ยากลุ่มนี้ยังมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลล่าสุดยังพบว่าสามารถชะลอการเสื่อมของไตในผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยเช่นกัน
ในช่วงที่ผ่านมา ยาในกลุ่ม GLP-1 Receptor Agonists ได้มีการพัฒนาจากรูปแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นยาฉีดมาเป็นยารูปแบบรับประทานที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน
2. SGLT2 Inhibitors
กลุ่ม SGLT2 Inhibitors มีบทบาทในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการยับยั้งการดูดกลับน้ำตาลที่ไต ทำให้ร่างกายขับน้ำตาลออกไปกับปัสสาวะ ยากลุ่มนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดและยังมีข้อดีในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและชะลอการเสื่อมของไต ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาโรคเบาหวาน
3. DPP-4 Inhibitors
กลุ่ม DPP-4 Inhibitors ทำงานโดยการยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำลายฮอร์โมน GLP-1 ในร่างกาย ยากลุ่ม DPP-4 Inhibitors มีข้อดีที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด แต่ยากลุ่มนี้ไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวและไม่มีผลโดยตรงในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคไต
- ความก้าวหน้าทางการวิจัยในประเทศไทย
งานวิจัยทางคลินิกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแพทย์และผู้ป่วย โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย งานวิจัยทางคลินิกที่มีความเฉพาะของกลุ่มประชากรไทย ไม่เพียงแต่ช่วยให้เข้าใจความต้องการและปัญหาสุขภาพของผู้ป่วยแต่ยังสามารถพัฒนาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นวัตกรรมยารักษาโรคเบาหวานในประเทศไทยในปัจจุบัน ได้ส่งผลต่อการดูแลผู้ป่วยโดยการเพิ่มทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญที่ควรได้รับการสนับสนุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่การพัฒนาที่ดีเหล่านี้เพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอในการป้องกันโรคเบาหวาน
การควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจถึงการบริโภคชนิดและปริมาณของอาหาร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้เช่นกัน
โดยสรุปแล้ว นวัตกรรมใหม่ๆ ของยารักษาโรคเบาหวานและการบริโภคอาหารที่ถูกต้องร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยจัดการโรคเบาหวานในประเทศไทย
ทั้งนี้ จากข้อมูล IDF Diabetes Atlas พบทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคเบาหวานมากถึง 537 ล้านคน มากกว่า 90% เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกือบครึ่งหนึ่งยังไม่ได้รับการวินิจฉัย คาดว่าภายในปี 2573 จะเพิ่มขึ้นเป็น 643 ล้านคน และภายในปี 2588 จะเพิ่มมากถึง 783 ล้านคน
สำหรับสถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทย ข้อมูลจากรายงานสถิติสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 มีผู้ป่วยรายใหม่ เพิ่มขึ้น 3 แสนคนต่อปี ในปี พ.ศ. 2565 มีผู้ป่วยโรคเบาหวานสะสมจำนวน 3.3 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2564 มากถึง 1.5 แสนคน
ดังนั้นประชาชนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองโรคเบาหวานปีละ 1 ครั้ง ค่าระดับน้ำตาลในเลือดควรน้อยกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งหากตรวจพบตั้งแต่เริ่มแรกและรักษาได้เร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้


