สปสช. เล็งเห็นปัญหา พาผู้สูงวัย-ทุพพลภาพ พบหมอไม่ใช่เรื่องเล็ก!
สปสช. พิจารณาข้อเสนอการจัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ-สูงวัยเพื่อเข้ารับบริการสาธารณสุข หลังพบไม่ใช่ปัญหาเล็ก สูงวัย-ทุพพลภาพ เข้าถึงบริการยาก และกระทบกับภาระหน้าที่-เงินของครอบครัว
ล่าสุดที่ประชุม คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดสปสช.) เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2567 ได้พิจารณาร่างข้อเสนอการจัดบริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ เพื่อเข้ารับบริการสาธารณสุข ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ซึ่งแต่เดิมมีอยู่ในหมวดค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข แต่เป็นการกำหนดเฉพาะกรณีที่มีการส่งต่อระหว่างหน่วยบริการ ทั้งกรณีผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน และในกรณีฉุกเฉิน
จึงทำให้พบว่าผู้ทุพพลภาพ ยังมีข้อจำกัดในการเดินทางจากบ้านไปยังหน่วยบริการ เพื่อได้รับคำแนะนำ รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็น ที่ผ่านมาทางหน่วยงานได้รับการเรียนร้องผ่านการรับฟังความเห็นทั่วไปประจำปี 2563-2564 รวมถึงสายด่วน 1330 ซึ่งจากข้อมูลสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ พบว่ามีประชาชนที่ไม่ตรงเงื่อนไขเรียกขอรับบริการรถฉุกเฉินผ่าน 1669 กว่า 12,027 ราย/ปี ด้วยเหตุความจำเป็น เช่น พิการ จิตเวช ล้างไต ฯลฯ
ทั้งนี้ พบว่าในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีบริการรับส่งผู้ป่วยที่มีความยากลำบากในการเข้ารับบริการสาธารณสุขด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะจัดบริการโดยรัฐ หรือท้องถิ่น เอกชน หรืออาสาสมัคร โดยค่าใช้จ่ายมีทั้งที่จ่ายโดยกองทุนต่างๆ หรือเงินบริจาค ซึ่งประชาชนอาจได้รับบริการฟรีหรืออาจร่วมจ่ายบางส่วน
เมื่อพิจารณาการบริการ ณ ปัจจุบันสำหรับผู้ป่วย พบว่า
- ในกทม. โดยบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยกรุงเทพมหานครดำเนินโครงการรถบริการผู้พิการและผู้สูงอายุที่ใช้รถเข็นโดยสนับสนุนงบประมาณบางส่วน เพื่อที่จะเดินทางไปยังโรงพยาบาล ซึ่งมีการใช้บริการดังกล่าวลดลงเหรื่อยๆ ในปี 59-63 ใช้บริการ 6,000-12,000 ราย/ ปี ในขณะที่หลังสถานการณ์โควิดเหลือเพียง 500 ราย/ ปี
- หน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินขององค์การภาคเอกชน ที่สพฉ.รับรอง ซึ่งจะนำส่งผู้ป่วย 3 ระดับ คือ แดง เหลือง เขียว ไปยังโรงพยาบาล โดยใช้การเบิกจ่ายจาก สพฉ. ได้ ส่วนผู้ป่วยระดับ 4 ที่เป็นสีขาว คือเจ็บป่วยไม่ฉุกเฉินจะไม่ได้รับบริการ
- รถพยาบาลของหน่วยบริการสาธารณสุข โดยใช้บริการด้วยระบบส่งต่อ จะเบิกจ่ายค่าพาหนะรับส่งต่อจาก สปสช.
- รถบริการรับส่งผู้ป่วย โดย อบต. หรือ เทศบาล จึงเป็นบริการที่จัดโดยท้องถิ่นเอง ซึ่งเป็นโครงการที่ให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ ใช้งบท้องถถิ่นหรือกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
- บริการรับส่งผู้ป่วย โดยรถโดยสารสาธารณะ เช่น รถแท็กซี่ โดยให้บริการตามความสมัครใจ เช่น การรวมกลุ่มแท็กซี่อาสา ซึ่งได้รับเงินจ่าเงินบริจาค
โดยคณะกรรมการได้พิจารณาตามร่างข้อเสนอ ซึ่งมีรายละเอียดให้ผู้ทุพพลภาพที่จะสามารถใช้บริการได้นั้น รวมทั้งคนพิการที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว ผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ และผู้ป่วยที่มีความยากลำบากในการไปรับบริการสาธารณสุขด้วยตัวเอง โดยที่ประชุมมีการนำเสนอเพิ่มเติมในเรื่องของผู้ป่วยจิตเวชรุนแรงเพิ่มเติม
ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ตามความจำเป็น สนับสนุนความคล่องตัวของหน่วยบริการในกรณีคิวเต็ม หรือไม่สามารถจัดบริการได้ รวมไปถึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน เช่น ค่าเดินทาง และค่าเสียโอกาสของญาติ
โดยใช้งบของกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่เป็นสำคัญ ซึ่งร่างยังได้เสนอทางเลือกในการกำหนดอัตราการบริการแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่อีกด้วย และจะดำเนินการทันทีหลังคณะกรรมการบอร์ดมีความเห็นชอบฯ
ปัญหาการไปหาหมอ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ
โพสต์ทูเดย์สำรวจความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าว พบว่าการไปพบแพทย์ของผู้พิการและผู้สูงอายุ ในทุกวันนี้กลายเป็นปัญหาของหลายๆ บ้าน ด้วยประเด็นดังต่อไปนี้
1. ปัญหาเรื่องการทำงาน เนื่องจากบางครั้ง ผู้พิการและผู้สูงวัยเดินทางไปยากลำบากส่งผลให้ขาดการพบแพทย์ บางบ้านสมาชิกในครอบครัวต้องลางานเพื่อไปส่งครอบครัวไปพบแพทย์ ทำให้มีผลต่อการทำงาน ซึ่งบางครั้งผู้สูงวัยและผู้พิการเหล่านี้มีการนัดตรวจเป็นประจำ บางครั้งหากลางานบ่อยและไม่สามารถลาได้ ผู้ป่วยก็จะไม่ได้พบแพทย์และขาดการเข้าถึงการบริการที่จำเป็นเช่นกัน
2. ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย นอกจากนี้หากผู้สูงอายุ หรือ ผู้พิการที่ใช้วีลแชร์ หรือผู้ป่วยติดเตียง จำเป็นต้องพบแพทย์จะยิ่งเป็นปัญหา เพราะต้องใช้ภาหนะรับส่ง บางคนไม่มีรถส่วนตัว หรือต้องใช้รถแบบพิเศษ ซึ่งก็จะต้องมีการจ่ายค่าเดินทางที่เพิ่มขึ้น
3. ปัญหาด้านเวลา ผู้สูงอายุที่ต้องให้ลูกหลานพาไปพบแพทย์ จำเป็นต้องลางนหรือขาดเรียน หรือบางครั้งไม่สะดวกตามเวลานัด หากจะเลื่อนนัดก็จะต้องรอคิวอีกนาน ส่งผลต่อการจัดการของโรงพยาบาล และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุด้วย
ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสังคมสูงอายุที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลาน ปัญหาการรับส่งไปโรงพยาบาลจึงกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ เพราะคือจุดเริ่มต้นของการเข้าถึงการบริการทางสาธารณสุขทั้งหมด


