posttoday

ความเป็นไปได้และความท้าทาย ‘อุ้มบุญ’ สำหรับ LGBTQ และคนโสด!

26 มิถุนายน 2567

สังคมกำลังจะก้าวเข้าสู่การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในปี 120 วันข้างหน้า ซึ่งยังมีข้อกฎหมายหลายประการที่ต้อง 'ตาม' ให้ทัน กฎหมาย 'อุ้มบุญ' เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จ่อจะมีการปรับใช้ รวมไปถึงคนโสด และชาวต่างชาติด้วย ท่ามกลางความท้าทายโดยเฉพาะประเด็นการค้ามนุษย์

หลังจากพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมผ่านรัฐสภาและจะมีการบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ปัจจัยหนึ่งที่ต้องถูกยกนำมาพูดถึงคือหากเหล่า LGBTQ อยากที่จะมีลูกจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง สอดคล้องไปกับทิศทางของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะให้ ‘อุ้มบุญ’ ถูกกฎหมาย เพื่อหนุนให้สามี-ภรรยามีลูก เปิดโอกาสให้กับ LGBTQ และคนโสด และที่สำคัญคือเล็งเห็นถึงการดึงเม็ดเงินเข้าไทยจากการเปิดให้ชาวต่างชาติสามารถขอรับบริการอุ้มบุญในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย 

อย่างไรก็ตาม ทางสธ. ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณากฎหมายฉบับดังกล่าว และแม้ว่าจะเล็งเห็นถึงเม็ดเงินมหาศาลจากการเปิดให้ ‘อุ้มบุญ’ สามารถทำได้ในเชิงพาณิชย์ผ่านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์  ก็ยังคงมีข้อกังวลและความท้าทายที่ทางโพสต์ทูเดย์ได้รวบรวมเพื่อถามหาความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น!

 

  • กฎหมายไทย ณ ปัจจุบัน ห้ามในเชิงพาณิชย์แต่ทำได้ในเชิงมนุษยธรรม

แต่ละประเทศมีนโยบายเกี่ยวกับการอุ้มบุญที่แตกต่างกันหลักๆ อยู่ 3 ประเภทคือ

1. ประเทศที่มีกฎหมายอนุญาตเพื่อมนุษยธรรมและเพื่อการพาณิชย์ ได้แก่ รัสเซีย ยูเครน แอฟริกาใต้

สหรัฐอเมริกาในบางรัฐ และอินเดีย ซึ่งครอบคลุมถึงกลุ่มคนเพศเดียวกันจ้างให้คนตั้งครรภ์แทนได้

2. ประเทศที่มีกฎหมายห้ามทำเพื่อการพาณิชย์แต่อนุญาตเพื่อมนุษยธรรม ได้แก่ ออสเตรเลีย อังกฤษ

แคนาดา ยกเว้นแคว้นควิแบค สหรัฐอเมริกาในบางรัฐ อิสราเอล รวมถึงประเทศไทย

3. ประเทศที่มีกฎหมายห้ามทุกกรณี ได้แก่ สวีเดน ฝรั่งเศส แคว้นควิเบคของแคนาดา สหรัฐอเมริกาในบางรัฐ สเปน

สะท้อนผ่านท่าทีของทาง สบส. สังกัดกระทรววงสาธารณสุขในปี 2566 เคยมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในการยกระดับคดีอุ้มบุญเป็นคดีพิเศษ เพื่อนำผู้กระทำผิด ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการรับจ้างอุ้มบุญที่ผิดกฎหมาย โดยแต่เดิมการทำอุ้มบุญสามารถทำได้ในกรณีที่สามีภรรยาจดทะเบียนสมรส และไม่สามารถมีบุตรได้โดยต้องมีแพทย์ยืนยันเท่านั้น

 

กฎหมายเกี่ยวกับการอุ้มบุญในไทย ณ ปัจจุบันมีเงื่อนไขที่สำคัญ คือ

  1. ผู้ตั้งครรภ์ต้องไม่เป็นพ่อแม่/ผู้สืบสันดานของสามีหรือภรรยาที่จะทำอุ้มบุญ
  2. ผู้ตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติ สืบสายโลหิตที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
  3. ผู้ตั้งครรภ์แทนเป็นหญิงที่ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขกำหนัด
  4. ผู้ตั้งครรภ์แทนต้องผ่านมากมีบุตรมาก่อนและได้รับการยินยอมจากสามี
  5. ห้ามรับตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าและเชิงพาณิชย์
  6. ห้ามสามีภรรยาที่ทำอุ้มบุญปฏิเสธที่จะรับเป็นบุตร
  7. ห้ามมีคนกลางหรือนายหน้าเรียกทรัพย์ เพื่อหาคนตั้งครรภ์แทน

 

  • จับตากฎหมายอุ้มบุญใหม่ รับ ‘เศรษฐกิจสุขภาพ’

จากนโยบายสมรสเท่าเทียม และกระแสสังคมที่เปิดรับในเรื่องของ LGBTQ มากขึ้น ผสมกับปัญหาด้านวิกฤตประชากรที่ทำให้ประเทศไทยมีประชากรน้อยลง คนโสดมากขึ้น รวมถึงนโยบายของรัฐที่มุ่งทำให้ไทยเป็น Medical Hub เพื่อสร้าง ‘เศรษฐกิจสุขภาพ’ ดึงเม็ดเงินจากต่างชาติซึ่งอยากที่จะใช้เทคโนโลยีทางการเจริญพันธุ์ในการมีบุตร

เพราะเมื่อมองสถิติในปี 2566 ของคลังข้อมูลด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ของประเทศไทย พบว่าไทยมีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์เฉลี่ยสูงถึง 46 % มีการให้บริการทำเด็กหลอดแก้วกว่า  20,000 รอบการรักษา การผสมเทียมกว่า 12,000 รอบการรักษา สร้างรายได้ในบริการทางการแพทย์นี้กว่า 4,500 ล้านบาท และนี่เป็นรายรับเฉพาะแค่ผู้ที่มารับบริการสัญชาติไทยเท่านั้น

ทาง สธ. จึงได้มีการแถลงข่าวจ่อปรับนโยบาย ‘อุ้มบุญ’ ใหม่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญที่มีการเกริ่นไว้ในแถลงข่าว และแสดงถึงทิศทางของกฎหมายที่จะเกิดขึ้น เช่น

  1. จะมีการปรับแก้คุณสมบัติผู้รับบริจาคไข่ ให้ญาติสืบสายโลหิตของภรรยาที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปีและไม่จำเป็นต้องผ่านการสมรส สามารถเป็นผู้บริจาคไข่ได้
  2. จะมีการยกเลิกเพดานอายุของภรรยาที่จะให้ผู้หญิงอื่นตั้งครรภ์จากเดิมไม่เกิน 55 ปี เป็นมากกว่า 55 ปีได้
  3. จะอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาทำอุ้มบุญแบบถูกกฎหมาย
  4. รวมไปถึงกรณีคู่สมรสเพศเดียวกันต้องการทำอุ้มบุญ กฎหมายอุ้มบุญที่จะออกใหม่นี้รองรับ แต่ต้องเป็นคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ‘อุ้มบุญ’ ก็ยังมีประเด็นที่ต้องจับตาต่อว่ากฎหมายที่ออกมาจะสามารถอุดรอยรั่ว โดยเฉพาะในเรื่อง 'ค้ามนุษย์' ซึ่งมีการถกเถียงในประเด็นดังกล่าวมาโดยตลอดได้หรือไม่ ซึ่งประเด็นที่กฎหมายฉบับนี้จะต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ อาทิ

  1. ประเด็นการยุติการตั้งครรภ์  หากกรณีหญิงที่ตั้งครรภ์แทนต้องการยุติการตั้งครรภ์ โดยไม่ใช่เหตุผลทางด้านสุขภาพของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนและเด็กในครรภ์ อาจด้วยปัญหาทางสังคม การผิดสัญญา หรือเหตุใดๆที่เกิดจากผู้ที่ประสงค์จะให้ตั้งครรภ์แทน หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนจะสามารถยุติการตั้งครรภ์ได้หรือไม่?
  2. สิทธิของหญิงที่ตั้งครรภ์แทน ในกรณีที่เป็นในเชิงพาณิชย์ ค่าใช้จ่ายจะครอบคลุมเรื่องใดและอยู่ในอัตราเท่าไหร่ควรจะมีมาตรฐานมากน้อยเพียงใด เพราะหากมีการจ่ายค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม หรือนอกเหนือสิ่งที่ควรจะเป็น อาจเข้าข่ายลักษณะการค้ามนุษย์
  3. บทบัญญัติคุ้มครองกรณีที่ สามี และภรรยาที่ประสงค์จะมีบุตรเป็นชาวต่างชาติทั้งคู่ และต้องการใช้บริการที่ไทย จะมีมาตรการใดที่รัดกุมเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ เช่น การรับรองจากสถานทูตถึงสถานภาพการสมรส หรือมีกระบวนการใดที่จะพิจารณาในประเด็นของสภาพแวดล้อมของเด็กหลังการเลี้ยงดูหรือไม่?
  4. เช่นเดียวกับกรณีในประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อขยายไปสู่กลุ่มคนโสด ทั้งชายโสด และหญิงโสด เหล่า LGBTQ หรือผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปี สิ่งเหล่านี้จะมีมาตรการที่จะพิจารณาสภาพแวดล้อมหลังการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์หรือไม่? และอย่างไร?
  5. กรณีการผิดสัญญาการตั้งครรภ์ เช่น หากหญิงตั้งครรภ์แทนแท้ง ใครผิดหรือต้องมีการชดเชยค่าเสียหายหรือไม่? หรือหากมีอาการเจ็บป่วยระหว่างการตั้งครรภ์ ใครจะต้องรับผิดชอบในกรณีดังกล่าว
  6. ควรจะต้องมีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์และนักกฎหมายเข้ามาอยุ่ในกระบวนการอุ้มบุญหรือไม่?

ประเด็นเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นข้อกังวล และเป็นข้อท้าทาย ที่ต้องจับตาว่ากฎหมายฉบับใหม่ที่จะออกมาเพื่อผลักดัน ‘การอุ้มบุญ’ ให้ถูกกฎหมายและเป็นไปในเชิงพาณิชย์จะสามารถตอบคำถามและปิดรอยรั่วที่อาจนำไปสู่การค้ามนุษย์ได้หรือไม่ และอย่างไร?

ข่าวล่าสุด

เส้นทาง “เถ้าแก่ส้ม” ร้อยล้าน ปั้นโชกุนเบตง–สายน้ำผึ้งฝางดังทั่วประเทศ