คุยกับซีอีโอ : ยาดมโป๊ยเซียน ให้ลึกถึงประเด็นศักดิ์ศรี-คุณค่าของมนุษย์
โพสต์ทูเดย์พาสำรวจแนวคิดผู้บริหารรุ่น 4 ของยาดมโป๊ยเซียน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์ ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจ เมื่อยาดมโป๊ยเซียนถูกใช้จากทุกคนในสังคม จึงถึงเวลาที่จะตอบแทนคนในสังคม โดยไม่มองข้ามศักดิ์ศรีและคุณค่าของพวกเขา แม้จะเป็นผู้พิการก็ตาม
กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ผ่านรัฐสภาไปเมื่อต้นสัปดาห์ เหล่า LGBTQIA+ ต่างออกมาแสดงความยินดีและเฉลิมฉลอง และทำให้เดือนแห่งความภาคภูมิใจในปีนี้ของประเทศไทย เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายที่ยิ่งใหญ่
แต่ท่ามกลางการเรียกร้องความเท่าเทียมในประเด็นด้านเพศ แท้จริงแล้วเดือนแห่งความภาคภูมิใจหรือ Pride Month ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงแค่ประเด็นนี้เท่านั้น หากแต่เนื้อในแท้จริงของเดือนนี้คือการเคารพทุกความหลากหลายบนโลกใบนี้ รวมไปถึง ‘ผู้พิการ’
‘ยาดมโป๊ยเซียน’ คือหนึ่งในแบรนด์ที่มองเห็นปัญหาดังกล่าว โพสต์ทูเดย์จะพาไปสัมภาษณ์ ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์ ผู้บริหารรุ่น 4 ซึ่งสะท้อนแนวคิดและที่มาของการสนับสนุนความหลากหลายในสังคม โดยมองว่าพื้นฐานของการเคารพในความหลากหลาย คือ ‘ต้องมองเห็นถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าในตัวเราเองก่อน’
- ‘ยาดมโป๊ยเซียน’ เกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องความหลากหลายและเท่าเทียม?
“โป๊ยเซียนเติบโตมาปีที่ 88 แล้วครับ เราตระหนักว่าที่เราเติบโตมาได้เป็นเพราะสังคมให้โอกาสเรา มีคำถามที่ได้รับเสมอก็คือ กลุ่มเป้าหมายเราคือใคร ซึ่งเป็นคำถามที่เราควรตอบได้ แต่โป๊ยเซียนตอบไม่ได้ เพราะไม่สามารถจำแนกได้เลยว่าใครใช้โป๊ยเซียนบ้าง ไม่มีคำนิยามไหนมาแบ่งได้เลย ไม่ถูกจำกัดทั้งเชื้อชาติ เพศ ศาสนา หรืออะไรก็ตาม เพราะฉะนั้นเมื่อโป๊ยเซียนได้โอกาสจากทุกคนในสังคม ดังนั้นอะไรที่เป็นเรื่องที่เราจะตอบแทนหรือสื่อสารแก่สังคมได้ก็จะทำ” ดร.ณัฐพงศ์เอ่ยถึงที่มาและแรงบันดาลใจของการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในประเด็นสังคมดังกล่าว
“ จริงๆ ผมไม่ได้อยากใช้คำว่าความเท่าเทียม เพราะความเท่าเทียมมีมิติให้พูดในหลายแง่มากและเป็นเรื่องอุดมคติ คือไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้จริงในโลกนี้ ว่าทุกคนจะสามารถเท่าเทียมกันทุกมิติ
ผมอยากใช้คำว่า 'ศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์' มากกว่านะครับ ดังนั้นอะไรที่เราจะมีส่วนร่วมและให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไม่มีข้อจำกัดหรือมีข้อจำกัดน้อยที่สุด บนข้อที่เราตระหนักว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าในตัวเอง ให้เกียรติผู้อื่นและให้เกียรติตัวเราเอง อันนี้เป็นเรื่องที่โป๊ยเซียนจะทำ”
- แล้วอะไรคือนิยามของคำว่า ‘ศักดิ์ศรีและคุณค่าในตัวเอง’ ของโป๊ยเซียน
“ มันเริ่มจากการให้เกียรติตัวเอง” ดร.ณัฐพงศ์ตอบ
“ เวลาพูดเรื่องศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เรามักจะพูดถึงการให้เกียรติคนอื่นก่อน แต่ผมว่าเราจะให้เกียรติคนอื่นได้ เราต้องรู้ว่าให้เกียรติตัวเองยังไงก่อน เพราะฉะนั้นสิ่งไหนที่ลดทอนคุณค่าในตัวเรา เช่น การไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี Toxic Relationship หรือสถานที่ๆ มีความเสี่ยงที่เราจะทำความผิด ถ้าเราตระหนักว่าตัวเราเองมีศักดิ์ศรีและคุณค่า เราจะมีกำลังใจที่จะทำสิ่งดีๆ
และเมื่อเรารู้จักศักดิ์ศรีและให้เกียรติตัวเราแล้ว เราจึงจะเรียนรู้การให้เกียรติคนอื่น เพราะเราจะรู้ว่าเกียรตินั้นสำคัญอย่างไร และการไม่ได้รับเกียรติจากคนอื่นมันรู้สึกหรือบั่นทอนเราอย่างไร” นั่นคือประการแรกของนิยามคำว่าศักดิ์ศรีและคุณค่าของผู้บริหารรุ่น 4 แห่งโป๊ยเซียน
“ จากนั้นเราจะต้องตระหนักว่าทุกคนมีข้อจำกัดได้ เราอาจไม่ใช่กลุ่มเปราะบางแต่เราก็มีความทุกข์นะ ถ้าเรามองว่าทุกคนล้วนเหมือนกันในแง่มุมนี้ เราก็จะตระหนักและปฏิบัติต่อกันอย่างเห็นคุณค่า และคำนึงถึงศักดิ์ศรีของผู้อื่นมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เราอาจไปเจอคนที่เสิร์ฟอาหารผิดพลาดให้เรา ก่อนที่เราจะไปตวาดเขา เราอาจต้องคิดว่าเขาไปเจออะไรมา แม่อาจป่วยอยู่ พ่ออาจจะไม่สบาย สิ่งเหล่านี้มันอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ มันจึงทำให้เราพูดกับเขาดีๆ และจะได้รับการแก้ไขอย่างดี อันนี้คือเรื่องพื้นฐานที่เราทำได้ และเริ่มจากตัวเราเองได้ก่อนในชีวิตประจำวัน”
- ศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ในที่ทำงานของโป๊ยเซียนเป็นอย่างไร
“ ภายในองค์กรเราก็ไม่ได้พูดตรงๆ ว่าเราจะคำนึงถึงอะไร ไม่ได้ตะโกนออกไป เพราะคิดว่า การกระทำเสียงดังกว่าคำพูด ผู้บริหารชุดปัจจุบันเราพยายามสร้างมาตรฐานในการทำงานที่ดียิ่งขึ้น เราต้องคำนึงว่าทุกคนมีภาระ มีหน้าที่ความรับผิดชอบส่วนตัว เขาไม่ได้เข้ามาทำงานและจะอุทิศชีวิตหามรุ่งหามค่ำให้กับเรา มันไม่ยุติธรรม เพราะฉะนั้นอะไรที่จะซัพพอร์ตพวกเขาได้เราก็ทำ
เราจึงหานวัตกรรม เทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มกำลังการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในขณะเดียวกันก็ลดภาระพนักงานให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะถ้าเราลองไปมองจริงๆ แล้ว ผู้บริหารชุดปัจจุบันเริ่มในปี 2565 เราพบข้อน่าสังเกตจากการสำรวจว่า พนักงานของเราไม่สบายด้วยโรคอะไรบ้าง เราจะสามารถสนับสนุนให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างไร เกี่ยวข้องกับการทำงานหรือไม่ เราจึงพยายามเพิ่มเครื่องจักรใหม่เข้ามา ไม่ใช่แค่เพราะปัจจัยด้านเพิ่มกำลังการผลิต แต่เพราะเรื่องคุณภาพชีวิตของพนักงาน เป็นส่วนหนึ่งในสาเหตุที่เราคำนึงถึงและตัดสินใจใช้เทคโนโลยี”
- หลายบริษัทมองว่ามันคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
“ ถ้ากำไรเยอะก็ดีแต่ว่าถ้าเอากำไรมันใหญ่ซะจนไปบดบังเรื่องอื่นไปหมด เราจะเป็นองค์กรที่ไม่มีความสุข งานที่ดีประสิทธิภาพที่มากขึ้นมาจากความสุขในการทำงานครับ
ผมคิดว่าการเห็นคุณค่าของมนุษย์ยังรวมถึงการตระหนักถึงศักยภาพของตนเองว่าเราทำได้ เพราะฉะนั้นผมจะไม่แฮปปี้เลยถ้าหากได้ยินใครพูดว่าพนักงานก็ต้องการเงิน ก็แค่จ่ายเงินรึเปล่า ผมไม่คิดแบบนั้น ถ้าเราตระหนักว่าคนมีคุณค่าและมีศักยภาพในการพัฒนา เราควรสนับสนุนเขา และถ้าสุดท้ายมองในมุมทุน การที่มีพนักงานที่เก่งขึ้น ก็จะกลับมาพัฒนาองค์กรของเราไง สุดท้ายก็เป็นประโยชน์กับบริษัทอยู่ดี ”
- เมื่อตระหนักว่าอยากจะพูดในประเด็น ‘ทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าในตัวเอง’ จึงเลือกที่จะพูดในเรื่องของ ‘ผู้พิการ’ ในพื้นที่สาธารณะด้วย
“ สำหรับผมไพรด์ไม่ได้เป็นแค่เรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่ใจความสำคัญของมันจริงๆ คือทุกคนมีสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน ซึ่งคนจัดงานไพรด์เองก็พูดว่าไม่ได้เป็นแค่เรื่องเพศ เราจึงดึงเรื่องของผู้พิการขึ้นมา
นอกจากการดูแลผลิตภัณฑ์ของโป๊ยเซียน อีกขาหนึ่งคือผมอยู่ในวงการท่องเที่ยว เวลาสำรวจ World Top Destination ก็พบว่ากรุงเทพฯ ติดท็อปตลอดเลย ผมจึงถามว่าถ้าเราอยากเป็น World Top Destination เราพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นห้างชั้นนำ วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ ทำได้แล้ว แต่ถ้าเป็นย่านอาจจะยากเช่น เยาวราช สุขุมวิท จะทำยังไง มันมีข้อจำกัดสำหรับผู้พิการว่ากรุงเทพฯ ไม่สามารถเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวทุกคนได้ เพราะฉะนั้นเมื่อผมเข้าไปมีส่วนร่วมกับมูลนิธิที่เพื่อสังคมและผู้พิการ ก็พบปัญหาหลายอย่าง และเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาพูดในเรื่องนี้ ผมเป็นคนกรุงเทพฯ โตกรุงเทพ ผมจึงอยากให้ที่นี่เป็นบ้านที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนครับ”
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมากิจกรรมของ ‘ยาดมโป๊ยเซียน’ จึงมุ่งให้คนทุกกลุ่มได้เข้าร่วมมากที่สุด
“ ทุกกิจกรรมของเรา จะให้ทุกคนในสังคมเข้าร่วมกับเราได้ด้วยข้อจำกัดน้อยที่สุด จะสังเกตว่า 2 ปีที่ผ่านมาเราทำกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ทุกกิจกรรมทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมและไม่ต้องพะวงว่าอยู่ที่ไหน เพศอะไร ฐานะเป็นอย่างไร เราทลายข้อจำกัดเหล่านี้ เราแสดงออกผ่านกิจกรรมของเรา มันอาจจะไม่ใช่ทุกกิจกรรมที่คนเข้าร่วมได้ทุกคน อย่างเช่นตอนสงกรานต์ ที่เราทำสไลเดอร์ยักษ์ที่สยามสแควร์วัน คนพิการขึ้นได้มั้ย เราก็เป็นห่วง เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ใช่ทุกกรณี แต่เราพยายามให้มีข้อจำกัดน้อยที่สุด
ล่าสุดเราทำเรื่องระดมพลาสติกเหลือใช้ผ่านกระบวนการ upcycling และกลายเป็นอิฐ เพื่อนำไปบูรณะพื้นที่โบราณสถานที่อยุธยา ซึ่งก็สามารถส่งพลาสติกมาได้ เริ่มสิ้นเดือนนี้และยาวไปอีก 3-4 เดือน สาเหตุก็เพราะว่าเราตระหนักว่าทุกคนควรมีสิทธิที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี โลกที่ดี ที่ไม่ร้อนจนเกินไป น้ำไม่ท่วม หิมะไม่ตกหนักจนเกินไป ทั้งหมดมันเกิดจากพื้นฐานความคิดของเรื่องสิทธินี่แหละ ว่าทุกคนควรดำเนินชีวิตอย่างดีและมีความสุข”
- สู่ปีแรกของการร่วมขบวนบางกอกไพรด์ เป็นอย่างไรบ้าง
“พาเหรดของโป๊ยเซียนเป็นครั้งแรกของเรา และมีข้อจำกัดเยอะ แต่ว่ารู้สึกแฮปปี้กับสิ่งที่เราทำครับ” ดร.ณัฐพงศ์ระบุ
“ อย่างที่บอกว่าเราตั้งใจจะเสนอแง่มุมความเท่าเทียมในมิติอื่นๆ เราสัมผัสเรื่องคนพิการและอยากชูเรื่องนี้ เราได้รับเกียรติจากพี่น้องผู้พิการด้านความเคลื่อนไหวและการได้ยินรวมกันกว่า 30 ชีวิตไม่รวมอาสาสมัครที่มาช่วยดูแล มีพี่ๆ ที่เป็นนางโชว์มาช่วยสร้างสีสันและช่วยซัพพอร์ตทุกอย่าง ทุกคนที่มาเดินโดยภาพรวมมีความสุขมาก อาจจะเหนื่อยหลายอย่างแต่ทุกคนมีความสุข และผมก็คิดว่าคนที่อยู่สองข้างทางก็มีความสุขด้วย เพราะว่าพอเห็นวีลแชร์เลี้ยวผ่านโค้งถนนมา มีเสียงปฏิกิริยาคนรอบข้าง เราจะเห็นความตื่นตาตื่นใจของคนที่อยู่สองข้างถนน ว่ามีคนผู้พิการด้วย และมีผู้พิการที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นสองเงื่อนไขเลยนะ แต่ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เรามีผู้พิการพาราลิมปิก ผู้พิการที่ใช้เท้าแต่งหน้า หรือผู้พิการที่มีความสามารถหลากหลาย ไม่มีเหตุผลที่จะเอาความพิการมาขวางกั้นทุกคนออกจากกัน
ส่วนกิจกรรมต่อเนื่อง กำลังคิดกันอยู่ เรากำลังดูว่าจะร่วมมือกับมูลนิธิที่เกี่ยวกับคนพิการอะไรได้อีก ส่วนตัวเองก็เคยร่วมงานกับมูลนิธิต่างๆ หลายครั้ง แต่การทำอีเว้นท์เราต้องดูเรื่องความพร้อมและความปลอดภัยสำหรับผู้พิการเป็นสำคัญ”
นอกจากการร่วมงานด้วยขบวนพิการ อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ขบวนของยาดมโป๊ยเซียนมีความหมายมากขึ้นก็คือการนำสัญลักษณ์ ‘ดอกมะละกอ’ ร่วมเดินในขบวน และเป็นดอกไม้ที่สะท้อนแนวคิดของยาดมโป๊ยเซียนยุคนี้ ที่อยู่เคียงข้างศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในทุกรูปแบบ
“ เรามีดอกไม้ชนิดเดียวตกแต่งขบวน ก็คือ ‘ดอกมะละกอ’ เพราะโดยธรรมชาติของมันเรากำหนดเพศไม่ได้ ดอกปกติเราจะเห็นว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย แต่ดอกมะละกอไม่ใช่ มันจึงเป็นตัวแทนของความหลากหลายด้วยธรรมชาติของมันเอง และมันเป็นดอกที่ถูกมองข้ามไปว่า จริงๆ แล้วเขามีคุณค่าและมีความหมายเปรียบเทียบกับผู้พิการครับ เพราะทุกคนรู้จักมะละกอ ประเทศไทยขับเคลื่อนด้วยส้มตำ แต่ทุกคนมองข้ามดอกของมัน ซึ่งถ้าไม่มีดอกก็ไม่มีผลและไม่มีเมล็ดนะ” ดร.ณัฐพงศ์ปิดท้าย


