‘มาเลเซีย’ เนื้อหอมดึงดูดการลงทุนด้าน AI แล้วไทยอยู่ตรงไหนในสมการ?
มาเลเซียดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google ได้สำเร็จ โดยก่อนหน้านี้ได้ประกาศทุ่มเม็ดเงินสองแสนล้านเพื่อพัฒนา ‘ทักษะแรงงาน’ ขั้นสูงโดยเฉพาะ เมื่อหันมามองไทยที่มีการพูดถึงเรื่องเพิ่มทักษะแรงงานเช่นกัน แล้วเราทำอะไรไปแล้วบ้าง?
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้ประกาศยุทธศาสตร์ระดับชาติ คือการเป็น "ศูนย์กลางผลิตชิประดับโลก" และไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลได้จัดเม็ดเงินอัดฉีดเต็มกำลังกว่า 2 แสนล้านบาท โดยมุ่งไปที่การฝึกอบรมวิศวกรทักษะสูงจำนวน 60,000 คนเพื่อพร้อมรับกับอุตสาหกรรมโลกด้านไอทีขั้นสุง!! และมีทีท่าว่าหากทำได้จะสามารถดึงดูดการลงทุนเกือบ 4 ล้านล้านบาทภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี
ตามมาด้วยข่าวดีอย่างต่อเนื่องเมื่อ Google ประกาศเตรียมลงทุนครั้งใหญ่ในมาเลเซีย มีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 73,000 ล้านบาท เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ และ คลาวด์รีเจียน โดยใช้มาเลเซียเป็นฐานของประเทศในแถบอาเซียนทั้งหมด ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่าการลงทุนครั้งนี้ส่งผลต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของมาเลเซียมหาศาล เพราะสามารถสร้างงานได้กว่า 26,500 ตำแหน่งในปี 2030 ที่จะถึงนี้
การประกาศดังกล่าวทิ้งช่วงไม่นานหลังจากที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ไมโครซอฟต์ได้ตัดสินใจลงทุนไปแล้วกว่า 2,200 ล้านดอลลาร์ในมาเลเซียเพื่อพัฒนาระบบเอไอ และคลาวนด์เช่นกัน
รวมไปถึงในเดือนธันวาคม ปี 2021 Intel ก็ใช้เงินมากกว่า 7 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานบรรจุภัณฑ์และทดสอบชิปในมาเลเซีย เช่นเดียวกัน Infineon Technologies ของเยอรมนีได้ประกาศการลงทุนสูงถึง 5 พันล้านยูโรในช่วง 5 ปีพื่อสร้างโรงงานผลิตพลังงานจากซิลิกอนคาร์ไบด์ขนาด 200 มิลลิเมตรที่ใหญ่ที่สุดในโลกในมาเลเซีย
เหตุผลในการลงทุนประกอบด้วยหลายปัจจัย แต่การประกาศพัฒนาทักษะแรงงานมนุษย์ของมาเลเซียพร้อมกับการทุ่มงบประมาณอัดฉีดมหาศาล ก็ทำให้ได้เห็นว่า 'ทักษะขั้นสูง' เป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วน
- ไทย-มาเลเซีย กับนโยบายพัฒนาทักษะแรงงาน
ในขณะที่ไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว แต่มาเลเซียจะใช้เวลาถึงปี 2030 หรืออีกกว่า 6 ปีข้างหน้าเพื่อที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีคนอายุ 60 กว่าร้อยละ 15 ในขณะที่ถึงเวลานั้นไทยจะเต็มไปด้วยผู้สูงอายุแบบสุดยอดไปแล้วด้วยอัตราประชากรผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 28
ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐของไทยต่างเห็นถึงปัญหาของการศึกษา และการผลิตแรงงานสู่ภาคการผลิตว่าคงไม่เพียงพอ และที่สำคัญคือไม่มีทักษะขั้นสูง มีการพูดถึงเรื่อง Reskill - Upskill บ่อยๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีโครงการพัฒนาทักษะแรงงานจากฝั่งภาครัฐ แต่กลับไม่ตรงจุดและไม่ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม เพราะทักษะที่ต้องพัฒนาคือทักษะด้านไอที และเป็นไอทีขั้นสูง โดยพบว่าไทยยังขาดแคลนแรงงานด้านนี้มากกว่า 80,000 คนต่อปี ส่งผลให้ล่าสุดทางกระทรวง อว. ได้ประกาศนโยบาย 'อว. for AI' ให้มีการพัฒนาเด็กที่จบด้านไอทีเข้าสู่ตลาดแรงงาน 30,000 คนภายในระยะเวลา 3 ปี ส่วนคนในวัยแรงงานที่ทำงานอยู่แล้วนั้น ก็มีนโยบายส่งเสริมให้เกิดการใช้เครื่องมือทางด้านดิจิทัลให้มากขึ้น ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในรูปแบบของการเรียนออนไลน์ ( ซึ่งไทยก็มีอยู่แล้วคือระบบการเรียน MOOC)
ตัดภาพมาที่นโยบายของประเทศมาเลเซีย ที่เมื่อประกาศว่าจะเป็น ‘ศูนย์กลางการผลิตชิปของโลก’ และมองว่าการพัฒนาคนเป็นสิ่งที่สำคัญ รัฐบาลก็ได้ประกาศทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า เพื่อเน้นที่การพัฒนาวิศวกรขั้นสูงจำนวน 60,000 คนโดยตรง! ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวจะอยู่ทั้งในมหาวิทยาลัยรวมไปถึงภาคธุรกิจ โดยเน้นที่อุตสาหกรรมผลิตชิปทั้งระบบ
นอกจากนี้ยังมีการใช้แพ็คเกจ ‘Golden Pass’ เพื่อจูงใจสตาร์ทอัพ และดึงดูดนักลงทุน แรงงานต่างชาติมากความสามารถเข้ามาทำงานในมาเลเซีย เพื่อทำให้มาเลเซียเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกในอาเซียนให้ได้ ซึ่งโปรแกรมนี้มีแรงจูงใจทั้งค่าใช้จ่าย ภาษีต่างๆ ที่ใครเห็นก็อยากจะมาทำงานที่มาเลเซีย และเมื่อมาทำแล้วสิ่งที่รัฐบาลมองไปในคราวเดียวกันคือมันจะเป็นการสนับสนุนวิศวกรท้องถิ่นชาวมาเลเซียให้ได้เรียนรู้ และฝึกฝน รวมไปถึงรัฐก็สนับสนุนวิศวกรท้องถิ่นในมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าให้พวกเขาสามารถผลิตชิปด้วยตัวเองให้ได้!
ในขณะเดียวกัน ความรู้และทักษะของแรงงานมาเลเซียมีทักษะด้านเทคโนโลยีนำไทยอยู่หลายอันดับคืออยู่ในอันดับที่ 26 ขณะที่ไทยอยู่อันดับที่ 39
แม้ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยจากโครงสร้าง GDP 100% พบว่าเป็นมูลค่าเพิ่มที่มาจากภาคเกษตรประมาณ 10% ภาคอุตสาหกรรม 30% ภาคบริการ 60% แต่ในภาคอุตสาหกรรม 30% นั้นมีสัดส่วนแรงงานเพียง 16% ก็เท่ากับว่ารายได้จากภาคอุตสาหกรรมเป็นรายได้ที่สูง แต่เมื่อโครงสร้างของประชากรไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย อีกทั้งภาคอุตสาหกรรมที่อยากจะพัฒนาตัวเองไปข้างหน้าติดปัญหาหลายประการและหนึ่งในนั้นคือ ความสามารถของแรงงาน จนมีข่าวเม้าท์ว่า CEO บริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัทบินข้ามประเทศไทยไปเฉยๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย
ซึ่งก็กลับมาสู่โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยว่า ไทยเอาจริงเอาจังกับปัญหาเรื่อง ‘แรงงาน’ มากแค่ไหน? ในวันที่แรงงานน้อยลงด้วยวิกฤตประชากร และขาดทักษะที่โลกนี้ต้องการ.


