ทำไมนั่งเครื่องบิน ต้องรัดเข็มขัดตามคำเตือน “หลุมอากาศ” อันตรายกว่าที่คิด
กรณีเครื่องบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ตกหลุมอากาศจนมีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ทำให้หลายคนออกมาย้ำถึงความจำเป็นของการรัดเข็มขัดขณะโดยสารเครื่องบิน ขณะนักวิชาการชี้ โลกร้อนทำให้”หลุมอากาศ” เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
จากกรณีเครื่องบินสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบิน SQ321 ซึ่งมีผู้โดยสารจำนวน 211 คน และลูกเรือจำนวน 18 คน เส้นทางการบินจากท่าอากาศยานอีทโธรว์ ปลายทางท่าอากาศยานชางงี ขอลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ. ) เนื่องจากเหตุเครื่องบินตกหลุมอากาศ จนมีผู้โดยสารจำนวน 1 คน เสียชีวิตบนเครื่อง และมีผู้โดยสารและลูกเรือที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 83 ราย ทำให้หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องความจำเป็นของการรัดเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสารเครื่องบิน เพราะอาจเกิดความเสี่ยงที่เครื่องบินจะเผชิญภาวะอากาศแปรปรวน หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “ตกหลุมอากาศ” จนได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกรุนแรงได้
เฟซบุ๊กเพจ “กัปตันไฟซอล บิน กิน เที่ยว Captain Faisal” ของกัปตันไฟซอล นักบินการบินไทย ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ “หลุมอากาศ” ระบุว่า
เครื่องบินเวลาบินมันสั่นสะเทือนจากอากาศแปรปรวน(สมัยก่อนเรียกหลุมอากาศคงจะเหมือนตกหลุม) แต่จริง ๆ มันไม่มีหลุม มันมีแต่อากาศที่เป็น Turbulence
โดยอากาศแปรปรวนเกิดจากอะไร?
1. กลุ่มเมฆพายุฝนฟ้าคะนอง
เมฆปุยขาว ๆ ถ้าบางก็สั่นน้อย ถ้าหนาก็สั่นเยอะมานิดนึง ถ้ามีสีคล้ำ ๆ อันนี้ก็สั่นเยอะขึ้นมาอีก
ถ้าเป็น Cumulomibus Cloud (CB) หรือเมฆฝนฟ้าอันนั้นต้องหลบให้ไกล ทะลุเข้าไปไม่รอด มีทั้ง ฟ้าผ่า ลูกเห็บ น้ำแข็ง ลมกระโชก อากาศแปรปรวนสุด ๆ ซึ่งมองเห็น และ เรดาร์จับได้ (เรดาร์จะจับที่มีความชื้น) เรดาร์บนจอจะแสดงผลชัดเจนแบ่งเป็นสี เขียว เหลือง แดง ม่วง
ถ้า แดง สีม่วงนี่ตัวอันตรายหลีกให้ไกล
ภาพนี้จากเน็ต เป็นเรดาร์ตรวจจับอากาศของทั้ง Boeing และ Airbus เวลาบินกลางคืนนักบินมองไม่สภาพอากาศ ก็จะใช้ดูจากเรดาร์ ถ้าเจอก็จะหลบออกจากเส้นทางไปยังพื้นที่ไม่มีสภาพอากาศ (ไม่มีสี) #ภาพแรก
แต่ถ้า เมฆฝนเต็มฟ้าเราจะไปตรงที่เป็นสีเขียวซึ่งเป็นจุดที่มีน้ำฝน หรือความชื้นที่ไม่มาก #ภาพที่สอง
แต่ห้ามตรงไปพื้นที่เรดาร์แสดงสีม่วงเด็ดขาดมี extreme turbulence เต็ม ๆ ในนั้น
#ภาพที่สาม สีของเรดาร์เป็นขีดตรงจุดที่เราบินผ่าน อันนั้นเราสูงกว่าเมฆตรงนั้น และเมฆฝนที่ยังก่อตัวขึ้นไม่สูง พิษสงจะยังไม่มากเท่าไร พลังงานไม่เยอะแต่ก็สั่นอยู่
2. Wake Turbulence
คือคลื่นที่เกิดจากเครื่องบินลำหน้า หลักการเดียวกันเรือแล่นในน้ำแล้วเกิดคลื่น เครื่องบินก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่มองไม่เห็น ยิ่งเครื่องบินตัวใหญ่ ระวางขับหนัก บินเร็ว Wake Turbulence ยิ่งแรง
อันนี้มองไม่เห็น มีเคสที่เครื่องบินเล็กบินลอดใต้เครื่องSuper Jumbo 380 แล้วเกิดพลิกคว่ำตามภาพมาแล้ว
3. CAT Clear air turbulence
อันนี้ความหมายตรงตัวคือบริเวณที่มีความแปรปรวนของอากาศ แต่ไม่มีความชื้น ไม่มีเมฆ และมองไม่เห็น ซึ่งบริเวณดังกล่าวถ้าบินผ่านอาจจะมีการสั่นสะเทือนน้อยไปจนมาก
ส่วนเคส SQ321 ยังไม่มีข้อสรุป ต้องสืบสวนสอบสวนกันต่อไป แต่มันเป็น Serious Accident หรือ อุบัติเหตุร้ายแรงเพราะมีคนตาย ลูกเรือทั้งชุดจะต้องหยุดบินเพื่อตรวจร่างกายและเข้ากระบวนการสอบสวนครับ
โดยกัปตันไฟซอล ได้แนะนำว่ารัดเข็มขัดตลอดเส้นทางจนกว่าเครื่องจะจอดปลอดภัยที่สุด
ด้าน นักวิชาการสิ่งแวดล้อม ชี้โลกร้อนขึ้น โอกาสที่เครื่องบินจะตกหลุมอากาศที่รุนแรงมากขึ้น เผยอัตราการเกิดหลุมอากาศจะเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าภายในปี 2050 อาจมีเครื่องบินต้องเผชิญกับหลุมอากาศรุนแรงมากขึ้นถึง 40%
นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เฟซบุ๊ก โลกร้อนขึ้น โอกาสที่เครื่องบินจะตกหลุมอากาศมากขึ้น..เพราะอะไร?
1.เครื่องบินที่บินในบริเวณซีกโลกตะวันตกหรือบินจากโลกตะวันตกมายังซึกโลกตะ วันออกมีโอกาสที่จะตกหลุมอากาศบ่อยขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิในบรรยากาศของโลกที่สูงขึ้นทำให้ลมกรดหรือJet stream ซึ่งเป็นลมที่ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมการบินแปรปรวน
2. Jet Streams หรือลมกรดเป็นกระแสลมที่ไหลเวียนในระดับความสูงประมาณ7.0 ถึง16กม.เหนือจากพื้นโลกมีความเร็วสูงมากถึง 200-400 กม./ชม.เป็นลมที่พัดจากทิศตะวันตกมายังทิศตะวันออกของโลก ดังนั้นถ้าเครื่องบินบินจากซึกตะวันตกมาทางซีกตะวันออกก็ควรวางแผนการบินให้บินตามกระแสของ Jet streamจะทำให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นช่วยประ หยัดพลังงานและลดเวลาในการบินสั้นลง แต่หากจะบินจากตะวันออกมาทางตะวันตกก็ควรบินหลบJet streamให้มากที่สุดเพราะจะสวนกระแสลมทำให้ใช้เวลาการบินมากขึ้น
3.อุณหภูมิในบรรยากาศของโลกที่สูงขึ้นเนื่องจากโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นทำให้ลมกรดหรือ Jet streamลดความ เร็วลงในบางช่วง มีงานวิจัยระบุว่าอุณหภูมิในบรรยากาศที่สูงขึ้นในแถบทวีปอาร์กติกซึ่งร้อนขึ้นเกือบสี่เท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลกกำลังส่งผลให้กระแสลมกรด (jet stream) ซึ่งเป็นลมที่มีกำลังแรงพัดอยู่บนชั้นบรรยา กาศในบางช่วงมีความเร็วลดลงทำให้เกิดอากาศแปรปรวนในขณะที่อากาศปลอดโปร่ง(Clear Air Turbulance)มากขึ้น(ทั้งที่ไม่ได้บินผ่านเมฆหรือพายุ) เนื่องจากช่วง
ที่ความเร็วของลมกรดลดลงจะทำให้ความหนาแน่นของมวลอากาศในช่วงบริเวณดังกล่าวบางลง ซึ่งทำให้เกิด"หลุมอากาศ"ขึ้น ในขณะที่เครื่องบินได้บินผ่านหลุมอากาศ แรงยกจากปีกของเครื่องบินจะลดลงอย่างกระทันหันทำให้ตัวเครื่องตกลงไปในหลุมอากาศ ซึ่งจะตกมากหรือน้อยอยู่ที่ขนาดของความหนาแน่นของมวลอากาศ
4.นักวิจัยชี้ว่าอัตราการเกิดหลุมอากาศจะเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าภายในปี2050และอาจมีเครื่องบินต้องเผชิญกับหลุมอากาศที่รุน แรงมากขึ้นถึง40%