สวัสดิการรัฐ-ทัศนคติ-นวัตกรรม 3 โจทย์สำคัญแก้ปัญหาจำนวนประชากรในประเทศ!
แพทย์แชร์มุมมองต่อปัญหาเร่งด่วนเรื่องการเพิ่มประชากรในประเทศซึ่งคาดว่าจะกำหนดนโยบายชัดเจนมีนาคมนี้ ชี้ สวัสดิการรัฐ-ทัศนคติ-นวัตกรรม 3 โจทย์ร่วมสำคัญที่ไม่ง่าย! ระบุเน้นเรื่องเดียวอาจไม่เกิดผลเช่นที่เกาหลีใต้!
KEY
POINTS
- แพทย์เผยภาพรวมภาวะผู้มีบุตรยากทั่วโลกอยู่ที่ร้อยละ 15
- เทรนด์การมีครอบครัวเปลี่ยนจาก การวางแผนครอบครัวสู่การวางแผนมีบุตร
- นโยบายการเพิ่มประชากรโดยเน้นที่ผู้มีบุตรยาก เสี่ยงต่อการลงทุนที่สูญเปล่าและไม่สำเร็จเช่นที่เกาหลีใต้
- การแก้ปัญหาควรใช้หลายมาตรการเริ่มที่สวัสดิการและทัศนคติ
อย่างที่รู้กันดีว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุขั้นสุดยอดในอีกไม่ช้า โดยแนวทางการแก้ไขเน้นไปที่ 2 ประเด็นคือ การดูแลผู้สูงอายุให้สามารถเป็นกำลังแรงงานได้ต่อไป เช่น การเพิ่มอายุช่วงวัยเกษียณ หรือการใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยเพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดี
อีกประเด็นคือการเพิ่มจำนวนประชากร ซึ่งในรัฐบาลชุดนี้ก็มีการพูดถึงและเป็นนโยบายเร่งด่วน และคาดว่าจะกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในเดือนมีนาคมนี้ ทั้งมาตรการส่งเสริมการมีบุตร การช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่าย และการให้บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศรวมถึงคนโสดสามารถมีลูกได้ตามกฎหมาย รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีช่วยผู้มีบุตรยาก
วันนี้โพสต์ทูเดย์ได้สัมภาษณ์ นายแพทย์สุภักดี จุลวิจิตรพงษ์ หัวหน้าศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เมดพาร์คไอวีเอฟ โรงพยาบาลเมดพาร์ค อีกมุมมองหนึ่งต่อแนวทางและความเป็นไปได้ของนโยบายการเพิ่มประชากร ที่คลุกคลีกับการรักษาผู้มีบุตรยากมาอย่างยาวนาน โดยคุณหมอได้ให้ความรู้และมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ
ภาพรวมภาวะการมีบุตรของโลกในทุกวันนี้ พบภาวะมีบุตรยากอยู่ที่ร้อยละ 15
ภาวะมีบุตรยากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากสถิติมีจำนวนผู้มีบุตรยากอยู่ที่ร้อยละ 15 โดยปัญหาดังกล่าวเกิดได้จากทั้งสองฝ่าย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น ผู้หญิงจะภาวะที่พบบ่อยๆ คือ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เป็นต้น ส่วนในฝ่ายชาย จะอยู่ที่อสุจิน้อย หรือการว่ายไม่ดี มีรูปร่างผิดปกติ ก็จะส่งผลต่อการตั้งท้อง
อย่างไรก็ตามในบางครั้งอาจตรวจไม่เจอความผิดปกติ แต่กลับพบปัญหามีบุตรยากเช่นกัน ซึ่งจะพบได้ร้อยละ 10 ของคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก ซึ่งเรียกว่าเป็นภาวะที่มีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งกลุ่มนี้จะไม่สามารถมีบุตรเองได้
“ อีกปัจจัยหนึ่งที่กำหนดคือ อายุ ซึ่งเราจะใช้อายุฝ่ายผู้หญิงเป็นสำคัญ” นายแพทย์สุภักดีระบุ
โดยธรรมชาติของผู้หญิงจะตั้งท้องได้สมบูรณ์ที่อายุ 20-30 ปี เรียกว่าเป็นภาวะเจริญพันธุ์ที่สมบูรณ์ หลังจากนั้นความสามารถในการเจริญพันธุ์จะค่อยๆ ลดลงตามวัย ตั้งแต่อายุ 30-35 กราฟจะค่อยๆ ลดลงและจะดิ่งลงมากตอนอายุ 40 ปี ส่วนผู้หญิงที่มีอายุเกิน 45 ปี แทบไม่เคยเห็นในกรณีที่สามารถตั้งท้องเองได้
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ การเพิ่มจำนวนประชากรในปัจจุบันทำได้ยากมากยิ่งขึ้น
“ สภาวะปัจจุบันที่เกี่ยวข้องทั้งสังคม เศรษฐกิจ และค่านิยม นั้นสะท้อนถึงการมีบุตรยากหรือไม่ ก็ต้องตอบว่ามีแน่นอน เพราะโดยสภาพสังคมโดยปัจจุบัน ในความเป็นจริงแล้วสำหรับผู้หญิง กว่าจะพร้อมมีลูกและกว่าจะมีลูก ใช้เวลาค่อนข้างนาน ซึ่งสวนทางกับลักษณะทางกายภาพที่เป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้เราจะเห็นว่าการมีบุตรยากมีแนวโน้มจะมากขึ้นในสังคม เพราะว่าผู้หญิงคนหนึ่งตั้งต้นอยากจะมีลูกจริงๆ เกินวัย 30 มาแล้ว ซึ่งพ้นวัยที่สมบูรณ์ที่สุดมาแล้ว
และยังมีในเรื่องปัจจัยอื่นๆ ที่เราอาจจะยังพิสูจน์ไม่ได้และมองไม่เห็น แต่เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลบ้าง คือ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมหรือมลภาวะ ที่อาจมีผลต่อคุณภาพของอสุจิและคุณภาพของไข่ รวมทั้งพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่ทั้งคนสูบและไม่ได้สูบแต่ได้รับควันจากบุหรี่ และการดื่มเหล้า ….
เราจะเห็นว่าเทรนด์การมีบุตรยาก เป็นเรื่องที่สังคมต้องพบเจอ และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ” นายแพทย์สุภักดีกล่าวสรุปภาพรวม
เทรนด์การมีบุตรเปลี่ยนไป จากวางแผนครอบครัว เป็นวางแผนการมีบุตร
กล่าวโดยสรุปแล้วจากมุมมองของแพทย์ นายแพทย์สุภักดีระบุว่า เทรนด์การมีบุตรยาก และการท้องเองโดยอาศัยการช่วยเหลือทางการแพทย์จะเป็นเรื่องปกติ และการท้องตามธรรมชาติน้อยลงเรื่อยๆ
“สมัยก่อนมีคนมาทำเด็กหลอดแก้วจะถือเป็นเรื่องผิดปกติ ต้องปิดบัง แต่ปัจจุบันการทำเด็กหลอดแก้วเป็นเรื่องปกติในสังคมสมัยปัจจุบัน การท้องเห็นตามธรรมชาติในอนาคต อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ปกติอีกต่อไป มันสวนทางกันแบบนี้”
นายแพทย์สุภักดียังกล่าวเพิ่มเติมว่า คำว่า การวางแผนครอบครัว เราจะเห็นว่ามีการใช้เป็นนโยบายในการคุมกำเนิด เพราะสมัยก่อนเรามีลูกไม่ยาก เพราะผู้หญิงแต่งงานเร็ว จนสมัยหนึ่งกระทรวงสาธารณสุขต้องตั้งสโลแกนว่า มีลูกมาก ยากจน วันนี้ไม่ใช่แล้ว ไม่มีสโลแกนนี้อีกต่อไป
ทุกวันนี้ต้องใช้คำใหม่คือ การวางแผนการมีบุตร ซึ่งก็จะนำมาสู่เทคโนโลยีอีกอันหนึ่งคือ การฝากไข่แช่แข็ง เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งไม่พร้อมมีครอบครัว ด้วยวัยที่ยังไม่พร้อมก็สามารถฝากไข่แช่แข็งได้
“อาจจะเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงทุกคนจะเดินมาฝากไข่เพื่ออนาคตเป็นเรื่องปกติ ในอีกสัก 10 ปีข้างหน้า เหมือนกับทุกวันนี้ที่การทำเรื่องเด็กหลอดแก้วเป็นเรื่อง New normal เมื่อเทียบกับยี่สิบปีที่แล้ว”
นวัตกรรมเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่นโยบายต้องมองถึงต้นเหตุของปัญหาสำคัญ
ในโลกที่เทคโนโลยีรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และสามารถนำนวัตกรรมมาช่วยแก้ไขปัญหาให้ชีวิตสะดวกสบายและง่ายขึ้นได้ในหลายเรื่อง แต่ไม่ใช่กับการเพิ่มจำนวนประชากร
นายแพทย์สุภักดี แม้จะคลุกคลีกับเทคโนโลยีเพื่อช่วยการมีบุตรยาก แต่กลับมองว่าเทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะครอบคลุมจำนวนเพียงแค่ร้อยละ 15 เท่านั้น และหากมีการลงทุนในเรื่องนี้มากเกินไป อาจจะไม่คุ้มค่า
“ ผมมองในมุมส่วนตัวนะว่า ปัญหาของเด็กเกิดน้อยเกิดขึ้นทั่วโลกไม่ได้เฉพาะแค่ในประเทศไทย ตอนนี้เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกและเกิดมานานแล้ว เพียงแต่ว่าประเทศไหนบ้างจะได้รับผลกระทบเร็ว-ช้า สุดท้ายก็จะได้รับผลกระทบเหมือนกัน ประเทศที่ได้รับผลแล้วคือประเทศที่พัฒนาแล้ว ในเอเชียก็คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ซึ่งประสบปัญหาและทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”
การมองให้เห็นถึงปัญหาอย่างทะลุเป็นส่วนที่สำคัญและต้องถกประเด็นนี้ให้ดี โดยนายแพทย์สุภักดีมองว่าปัญหาใหญ่คือ คนไม่อยากแต่งงาน และไม่ต้องการมีครอบครัว
“ การมีลูกหนึ่งคนในสมัยนี้กับสมัยก่อน ภาระและความรับผิดชอบต่างกันโดยสิ้นเชิง สมัยก่อนไม่ได้เป็นภาระใหญ่โต แต่สมัยนี้การมีลูกหนึ่งคนก็จะไม่รอดแล้ว เลี้ยงตัวเองยังไม่รอดจะมีลูกได้อย่างไร แม้ที่จริงจะอยากมีลูกก็ตาม
อันที่สองก็คือว่า ด้วยความที่สภาพสังคมเปลี่ยนไป แม้ว่าคนที่มีความพร้อมมีลูก ไม่ได้ประสบปัญหาเรื่องฐานแต่ก็ไม่อยากมีลูก ปัญหาไม่ได้ไม่มีเงินเลี้ยง แต่จะเลี้ยงลูกให้ดีอย่างไรในสภาพสังคมทุกวันนี้”
นายแพทย์สุภักดีเล่าถึงข้อมูลผลสำรวจในวันเด็กที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการสอบถามเด็ก โดยมีคำถามหนึ่งคือ วิชาอะไรที่ไม่ชอบเรียน ไม่ให้มีการสอนมากที่สุด เด็กตอบว่าวิชาลูกเสือ-เนตรนารี วิชาที่สอง ศีลธรรม วิชาที่สามคือ หน้าที่พลเมือง สิ่งเหล่านี้สะท้อนอะไร ถามว่าวิชาที่อยากให้มีการเรียนการสอนมากที่สุดคือ การเงินและการลงทุน วิชาที่สองคือสื่อโซเชียลมีเดีย และเมื่อถามว่าสิ่งที่เด็กอยากได้มากที่สุดคืออะไร เด็กตอบ เงิน!
การลงงบประมาณสนับสนุนผู้มีลูกยากอาจไม่คุ้ม!
“ การเอาเงินไปสนับสนุนการรักษามีลูกยาก ก็อาจจะเป็นการแก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด เพราะเป็นส่วนน้อยและความคุ้มค่าในการลงทุนต่ำ เพราะคนกลุ่มนี้แม้ไม่สนับสนุนหากต้องการมีลูกก็จะสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายและสะดวกได้ด้วยตัวเอง แต่หากจะทุ่มเงินเพื่อคนกลุ่มนี้ก็ไม่คุ้มค่า เพราะไม่ได้ช่วยให้อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่
หากเราไปมองดูรายละเอียด เราจะพบว่าอัตราความสำเร็จจากการรักษาการมีลูกยากไม่ได้สูงมากนักโดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงอายุมาก และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันก็มีตัวอย่างให้เห็นถึงความล้มเหลวในประเทศอื่นมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งเป็นโมเดลที่ดีมาก เพราะเกาหลีประสบปัญหาเด็กเกิดน้อยในอัตราที่ต่ำลงเรื่อยๆ ในขณะที่เกาหลีใต้ใช้นโยบายสนับสนุนงบประมาณสำหรับผู้มีลูกยากมาเป็นระยะเวลามากกว่าสิบปีจนถึงปัจจุบัน อัตราการเกิดก็ยังต่ำเข้าสู่ระดับวิกฤตแล้ว ซึ่งยืนยันว่านโยบายแบบนี้ไม่น่าจะเกิดผล” นายแพทย์สุภักดีกล่าวถึงประเด็นการสนับสนุนเงินให้กับการรักษาผู้มีบุตรยาก ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในนโยบายของภาครัฐที่จะทำในอนาคต
“ คราวนี้ถ้าถามว่าต้องทำยังไง ในมุมของผมคือ กลุ่มที่มีความสามารถในการที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเกิดได้แท้จริงคือกลุ่มที่ไม่ได้มีบุตรยาก เพราะฉะนั้นเรามองแบบนี้จะเห็นภาพชัดขึ้น ทำอย่างไรให้เขาพร้อมและอยากมีลูก เพราะกลุ่มนี้ใหญ่มากและมีความสำเร็จสูง อาจจะมีบางคนที่พร้อมจะมีแต่มีภาระอย่างอื่นที่ไม่พร้อม ยกตัวอย่างเช่น สังคมปัจจุบันเราเห็นว่าเป็นครอบครัวเล็ก มีลูกแล้วไม่มีพ่อแม่มานั่งเลี้ยงลูกให้ สามีภรรยาต้องไปทำงาน เป็นภาระใหญ่ทำให้ไม่สามารถมีลูกได้แม้พร้อมจะมี สิ่งนี้คือสิ่งที่รัฐต้องช่วย เช่นการสร้างเดย์แคร์ที่สะดวก เข้าถึงง่าย และไว้ใจได้ อย่างเพียงพอและเท่าถึง”
ยังมีปัญหาหลายประการที่เป็นเงื่อนไขในการไม่อยากมีลูกสำหรับคนอยากมีลูก เช่น ช่วงเวลา 3 ปีก่อนลูกเข้าโรงเรียนใครจะเลี้ยง หรือในสถานประกอบการบางแห่งมีการให้สิทธิแก่ผู้หญิงเพียงการหยุดงาน 90 วันเท่านั้น หากเกิน 90 วันก็ต้องมาทำงานต่อ หรือตัดเงินและลดเงินเดือนในช่วงที่ลาคลอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมก่อความไม่สะดวกใจต่อการมีบุตร
“ ผู้หญิงที่มีลูก บริษัทกลับตัดเงินเดือน ที่จริงควรให้เงินเพิ่มนะ ไม่ใช่การตัดเงินเดือนหรือตัดโบนัส ซึ่งรัฐก็ต้องช่วยบริษัทเหล่านี้ที่มีนโยบายชัดเจนดังกล่าว
ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่นโยบายระยะยาวที่ต้องทำ ต้องทำเดี๋ยวนี้เพราะถึงขั้นวิกฤตแล้ว” นายแพทย์สุภักดีสรุป


