posttoday

‘Silver Economy’ อนาคตเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับคนวัย 60 อัพ!

26 มกราคม 2567

จากรายงานข้อมูลประชากรโลกปี 2566 ชี้ประเทศไทยจะมีประชากรลดลงกว่า 10 ล้านคนในปี 2593 และเทรนด์ทุกอย่างบ่งบอกว่าไทยจะต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคของเศรษฐกิจที่เรียกว่า Silver Economy

รายงานข้อมูลจากเอกสารข้อมูลประชากรโลก ฉบับปี 2566 ระบุประเทศไทยในปี 2566 มีประชากรอยู่ที่ 66 ล้านคน มีอัตราการเจริญพันธุ์และการตายอยู่ที่ 7 และ 9 ต่อประชากร 1,000 คน และเนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง อาจส่งผลให้ประชากรทั้งหมดในประเทศไทย ลดลงเหลือ 57.9 ล้านคน ภายในปี 2593 หมายความว่าด้วยอัตราการเกิดที่น้อยลง อีกเกือบ 30 ปีข้างหน้าประชากรจะลดลงไปกว่า 10 ล้านคน

 

นอกจากนี้ เมื่อ 3 ปีก่อนมีการคาดการณ์จากรายงานผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงประชากรในประเทศไทยปี 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยคาดการณ์ไว้ว่าในช่วงปี พ.ศ.2588-2593 ประชากรจะมีอัตราการเกิดใหม่น้อยกว่า 500,000 เท่านั้น แต่ ณ ขณะนี้เมื่อสิ้นปี 2566 กลับพบว่ามีอัตราการเกิดต่ำกว่า 5 แสนคนเสียแล้ว! ในขณะเดียวกันประเทศไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรวัยสูงอายุ เป็นอันดับ 3 ในเอเชีย รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยเข้าสู่สังคมสูงวัยเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548

 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในอนาคตประชากรที่มีผลสำคัญต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่าง คนวัยทำงาน จะมีจำนวนลดลง ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นการปิดโอกาส ที่ประเทศไทยเคยได้ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา จากการที่สัดส่วนของประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เข้าสู่ยุคของการขาดแคลนทุนมนุษย์แรงงานไทย  และมีข้อบ่งชี้ว่าคนทำงานที่มีอายุมากกว่า 45 ปี จะยังคงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

 

เศรษฐกิจใหม่ที่ขึ้นอยู่กับประชากรสูงวัย ดังที่หยิบยกสถิติมาพูดและยันว่าเป็นเรื่องที่ไทยต้องเจอแน่ๆ นั้น เรียกว่า Silver Economy  ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 26.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 880-900 ล้านล้านบาท คิดเป็น 26.6% ของมูลค่าเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่มูลค่าตลาดผู้บริโภคกลุ่มผู้สูงวัย หรือ silver gen ของไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.4% และคาดว่าจะแตะระดับ 2.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12% ของมูลค่าเศรษฐกิจไทย ในปี 2573 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า

 

หลายคนจึงตั้งคำถามว่าแล้วระบบเศรษฐกิจแบบนี้จะมีหน้าตาอย่างไร และจะทำให้ยั่งยืนได้อย่างไร

 

เมื่อพูดถึง Silver Economy หรือ เศรษฐกิจสูงวัย หลายคนมุ่งไปที่การทำธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดสูงวัย ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างรายได้มหาศาลต่อเศรษฐกิจโลกแน่ๆ เช่น การทำธุรกิจประเภทท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ  ธุรกิจประเภทสุขภาพ นวัตกรรม อาหาร ที่อยู่อาศัย หรือสิ่งอำนวยความสะดวกตอบโจทย์ผู้สูงอายุ

 

แต่ในอีกมุมหนึ่งที่น่าจะได้รับการพูดถึงให้มากขึ้นก็คือ กลุ่มประชากรวัยสูงอายุที่มากขึ้นเหล่านี้จะยังคงเป็นประชากรที่มีคุณภาพและอยู่ในวงจรการทำงานต่อไป เพื่อไม่ให้ประเทศขาดแคลนแรงงานได้อย่างไร รวมไปถึงความพร้อมของการใช้จ่ายของกลุ่มคนเหล่านี้มากพอที่จะสร้างเศรษฐกิจแบบ Silver Economy อย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่?

 

โดยในประเด็นแรกนั้นจะพบว่า ผู้สูงอายุในไทยได้รับการศึกษาที่ไม่ตอบสนองต่อการแข่งขันในยุคใหม่ แตกต่างจากประชากรที่มีอายุน้อยซึ่งมีระดับการศึกษาที่สูงกว่าและมีทักษะที่จำเป็นต่อยุคมากกว่า จึงต้องสร้างระบบที่เพิ่มทักษะการทำงานที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุให้มากขึ้น  ดังเช่นที่มีการกำหนดนโยบายจากภาครัฐที่จะมีการจัดตั้งสถาบันเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อปรับเปลี่ยนสมรรถนะ และเสริมสร้างความรู้ ทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเศรษฐกิจของประเทศ  ซึ่งอันที่จริงประเทศไทยก็มีปัญหาในเรื่องระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจมากในทุกวันนี้ ไม่จำกัดเฉพาะผู้สูงวัย ฉะนั้นจึงเป็นการท้าทายว่าจะปฏิวัติวงการศึกษาของบ้านเราอย่างไร เพื่อให้เท่าทันตลาด และทันกับเวลา

นอกจากนี้จะทำอย่างไรให้ ‘ประสบการณ์’ ที่ผู้สูงวัยสะสมมาตลอดการทำงาน เกิดผลและกลายเป็นคุณค่าในวงจรของธุรกิจและการทำงานต่อไป เพราะประสบการณ์การทำงานนั้นเป็นสมบัติที่สำคัญ ซึ่งหาไม่ได้ในวัยอื่น

อย่างไรก็ตาม ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนหน้าประเทศไทยมานาน กลับพบเจอปัญหาว่าการว่าจ้างผู้สูงวัย สำนักข่าวนิเคอิระบุว่า ประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนแรงงานเป็นอย่างมาก บริษัทญี่ปุ่นกว่าร้อยละ 40 มีการจ้างงานคนอายุ 70 ปี ส่วนบริษัทร้อยละ 25 กำหนดอายุเกษียณที่อายุ 65 ปีแล้ว สำหรับปัญหาที่พบเจอคือแรงงานสูงวัยมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุในการทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยเกิดขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่ 3 เท่า รวมไปถึงมีจำนวนอุบัติเหตุเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2022 มีอุบัติเหตุมากขึ้นกว่าปี 2021 ที่ร้อยละ 26

 

นอกจากนี้ในประเด็นของความหวังที่จะเติบโตทางเศรษฐกิจแบบ Silver Economy นั้นก็ต้องลงไปดูว่าคนไทยที่หวังจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มาจับจ่ายใช้สอยให้วงจรเศรษฐกิจโตนั้น  ‘มีเงินหลังเกษียณมากน้อยเพียงใด’  โดยกรมผู้สูงอายุ ระบุว่า ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปของไทยมีรายได้แยกแยะตามแหล่งที่มาคือร้อยละ 30 มาจากการทำงาน  นอกจากนี้เป็นรายได้จากบุตรหลาน และประมาณหนึ่งในสี่ของเงินที่ได้รับรายได้จากลูกหลานได้รับเพียง 1,000-4,999 บาทต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเส้นความยากจนของธนาคารโลกที่ประมาณ 27,000 บาทต่อปีอยู่มาก

จนเรียกได้ว่าอาจจะ ‘แก่ไม่ทันมีเงิน’ ก็ว่าได้ แล้วเศรษฐกิจที่คิดว่าจะเติบโตได้ขนาดนั้นจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด หรือสุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นการจัดสรรเงินจากรัฐบาล ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาลเลยทีเดียว ..

 

นี่เป็นเพียงไม่กี่ประเด็นเท่านั้น และแม้ว่า Silver Economy จะเป็นแนวที่ประเทศไทยจะต้องเดินตรงไปแน่นอน แต่คำถามคือ ประเทศไทยพร้อมมากน้อยเพียงใด?

 

 

ข่าวล่าสุด

SME D Bank จัด 'Culture Day' ขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร "ประสานพลัง-พัฒนาเรียนรู้" สู่การเติบโต