วอนยอง IVE ชนะคดีเฟคนิวส์ 100 ล้านวอน ส่วนคนไทยถ้าโดนเฟคนิวส์บ้างทำอย่างไร?
เมื่อ วอนยอน ไอดอลตัวท็อปของเกาหลีชนะคดีฟ้องร้องช่องหนึ่งบนยูทูบข้อหาหมิ่นประมาทจากการปล่อย ‘เฟคนิวส์’ ถือเป็นตัวอย่างของการจัดการมลพิษทางสื่อออนไลน์ได้ดีอีกวิธีหนึ่ง จนต้องหันมามองว่าสำหรับคนทั่วไปและคนไทยอย่างเรา พอจะมีเครื่องมือป้องกันตัวได้อย่างไรบ้าง
จากข่าวเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2023 ต้นสังกัด Starship Entertainment ประกาศชนะคดี หลังมีการฟ้องร้องช่องยูทูบเรื่องการปล่อยเฟคนิวส์ต่อศิลปิน และเข้าข่ายหมิ่นประมาท โดย สื่อเกาหลี มีรายงานว่า ศาลแพ่งแขวงกลางกรุงโซล จางวอนยอง ชนะคดีความ โดยจำเลยต้องจ่ายค่าทดแทนจำนวน 100 ล้านวอน หรือ 2.7 ล้านบาท และดอกเบี้ยปีละ 12% รวมถึงชำระค่าใช้จ่ายของศาลที่เกิดขึ้นในระหว่างการฟ้องร้อง ทั้งนี้ ทนายความกล่าวว่า "เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฏงยังช่องยูทูบดังกล่าว ได้มีการหาประโยชน์กับตัวศิลปิน และประกอบด้วยไปข้อความอันเป็นเท็จ เข้าข่ายการหมิ่นประมาท"
สืบเนื่องจาก เดือนกันยายน 2022 ช่องยูทูบ Sojang (Taldeok Camp) หรือ พัคโซจัง มีการอัปโหลดคลิปพุ่งเป้าไปที่จางวอนยอง กล่าวอ้างว่า เธอได้บังคับสมาชิกคนที่ 7 ของวงที่เคยเป็นข่าวลือ ให้ออกจากกลุ่มก่อนที่จะเดบิวต์ ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวหมิ่นประมาทต่อศิลปิน ด้วยเหตุนี้ ทางต้นสังกัด Starship Entertainment ได้มีการประกาศแผนการปกป้องศิลปินที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และป้องกันการปล่อยข้อมูลอันเป็นเท็จ แต่ไม่ได้มีการพูดถึงการดำเนินคดีทางกฏหมาย นำมาซึ่งการฟ้องร้องและชนะคดีในที่สุด
คำว่า ‘เฟคนิวส์’ นั้น จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ชี้แจงว่า การใช้คำว่า ‘เฟคนิวส์’ อาจจะดูแคบเกินไป อันที่จริงแล้วควรจะครอบคลุมตั้งแต่ เนื้อหาที่นำไปสู่ความเข้าใจผิด ซึ่งอาจทำโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ โดยทำให้บุคคลที่แอบอ้างนั้นเสียชื่อหรือ การนำข้อมูลมาเชื่อมโยงกัน มโนกันไปเองทั้งที่ในความเป็นจริงไม่เกี่ยวข้องเลย เช่น การนำงานวิจัยที่ไม่เกี่ยวข้องมาเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์เพื่อหวังผลประโยชน์ รวมไปถึงการตั้งใจตัดต่อให้คนดูเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นแค่การทำเพื่อความสนุกสนานก็ตาม
นอกจากนี้ยังต้องรวมไปถึง เรื่องไม่จริงที่ทำขึ้นเพื่อความตลก สนุกสนาน บางคนก็อยากจะแชร์กันขำๆ แต่เราไม่มีทางรู้ได้ว่ากลุ่มคนที่อยู่ในภาพ หรือสิ่งใดๆ ที่ถูกอ้างในภาพจะรู้สึกอาย ถูกประจาน จนเข้าข่ายเป็นเหยื่อของ Hate Speech หรือ Cyberbulling อีกทางหนึ่ง
เฟคนิวส์ ไม่ใช่แค่เรื่องสนุก ข้อมูลแบบไหนเข้าข่ายเฟคนิวส์
เราอาจจะมองจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากข้อมูลดังกล่าว เพื่อพิจารณาว่าสิ่งที่เราส่งไปเป็น ‘เฟคนิวส์’ หรือไม่ โดย
- ข้อมูลนั้นทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินหรือไม่ เช่น แชร์วิธีการรักษาที่ไม่มีผลวิจัยรองรับ หรือไม่แน่ใจว่าจริงเท็จเพียงใด
- ข้อมูลทำให้เกิดความตระหนกตกใจ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติ หรือโรคระบาทที่เป็นเท็จ จนเกิดความแตกตื่น
- ข้อมูลนั้นทำให้ผู้ถูกแอบอ้างได้รับความเสียหาย เช่น ถูกล้อเลียน กลั่นแกล้ง ถูกเกลียดชัง
- ข้อมูลนั้นทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคม เช่น ข้อมูลเท็จทางด้านการเมือง หรือข้อมูลที่ทำให้ก่อเกิดสถานการณ์ไม่สงบได้
เริ่มต้นที่ตัวผู้เสพสื่อ รู้จักตรวจสอบเบื้องต้น
หากเราจะให้องค์กรต่างๆ มาตรวจสอบหรือกำกับควบคุมก็คงจะไม่สามารถทำได้อย่างครอบคลุม เพราะวันๆ หนึ่งจำนวนเนื้อหาที่ถูกปล่อยลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียวมีเป็นล้านๆ ข้อมูล เพราะฉะนั้นในฐานะผู้เสพจำเป็นต้องมีความรู้ และรู้จักที่จะตรวจสอบเบื้องต้น โดยทำได้คือ
- ตรวจสอบแหล่งที่มาว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด
- แม้แหล่งจะน่าเชื่อถือแต่ให้ตรวจสอบแหล่งข้อมูลอื่นๆ ประกอบด้วย
- ตรวจสอบต้นตอของข่าว บางทีเป็นการนำภาพข่าวเก่ามาเล่าใหม่เพื่อสร้างความแตกตื่น อาจจะใช้วิธีการ Google Image Search ซึ่งสามารถดูว่าภาพที่นำมาใช้นั้นเป็นภาพเก่า และเกี่ยวข้องจริงหรือไม่
- สอบถามผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
- นอกจากนี้ประเทศไทยยังมี ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย เพื่อส่งเรื่องให้ช่วยตรวจหรือได้ โดยสามารถส่งไปได้ที่
- เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/AntiFakeNewsCenter/
- ไลน์ @antifakenewscenter
- ทวิตเตอร์ www.twitter.com/AFNCThailand
- เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com
กฎหมายไทยจัดการโทษผู้ผลิต ‘เฟคนิวส์’ อย่างไร
นี่อาจเป็นเรื่องที่ทุกคนอยากรู้สำหรับฝั่งกฎหมายไทย โดยพบว่า
ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 คือนำข้อความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ อันก่อให้เกิดความเสียหาย สร้างความตื่นตระหนก กระทบต่อสังคม มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ส่งต่อข้อมูลเท็จนั้นโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จ ก็ถือว่ามีความผิดเท่ากับผู้กระทำผิดข้างต้นและมีอัตราโทษเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้หากข้อมูลนั้นทำให้บุคคล องค์กร หน่วยงาน เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ก็ยังอาจจะได้รับโทษในความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนมาตรา 328 เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาจะมีอัตราโทษที่สูงกว่า เพราะเป็นข้อความที่หมิ่นประมาทและบุคคลโดยทั่วไปสามารถเห็นได้ ซึ่งผู้กระทำผิดต้องระวางจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
นอกจากนี้ยังมีกฎหมายในส่วนของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งสามารถใช้ในคดีของการหมิ่นประมาท โดยผู้ที่จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทำให้เสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิ ก็สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ด้วย
ที่มา
https://www.etda.or.th/th/Useful-Resource/knowledge-sharing/articles/IFBL/FakeNews.aspx