อนาคตพลังงานสะอาดของประเทศไทย เมื่อ SMR ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
SMR กำลังถูกจับตาในฐานะพลังงานสะอาดแห่งอนาคตของไทย บนสมดุลระหว่างเทคโนโลยี ความปลอดภัย กฎหมาย และโจทย์ใหญ่ที่สุดคือความเชื่อมั่นของประชาชน
KEY
POINTS
- SMR (โรงไฟฟ้าปฏิกรณ์นิวเคลียร์โมดูลาร์ขนาดเล็ก) เป็นเทคโนโลยีพลังงานสะอาดทางเลือกใหม่สำหรับไทย มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยสูง ขนาดเล็ก และสร้างแบบโมดูลาร์ ซึ่งเหมาะกับการเสริมความมั่นคงทางพลังงานและช่วยให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero
- อุปสรรคสำคัญของไทยไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือการออกกฎหมาย "พ.ร.บ.ความรับผิดทางนิวเคลียร์" ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการซื้อขายเทคโนโลยี และความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับจากภาคประชาชน
- ปัจจุบันไทยยังคงมีท่าที "รอดู" (Wait and See) เพื่อรอให้เทคโนโลยี SMR ได้รับการพิสูจน์อย่างแพร่หลายในระดับสากลก่อน โดยมองว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำงานร่วมกับพลังงานหมุนเวียนในอนาคต
แรงกดดันจากวิกฤตโลกร้อน ค่าไฟฟ้าที่ผันผวน และเป้าหมาย Net Zero ที่ประเทศไทยประกาศต่อเวทีโลก คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “จะใช้พลังงานสะอาดหรือไม่” แต่คือ “เราจะเลือกเทคโนโลยีใดที่มั่นคง ปลอดภัย และเดินไปกับเศรษฐกิจไทยได้จริง” หนึ่งในคำตอบที่เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นคือ โรงไฟฟ้าปฏิกรณ์นิวเคลียร์โมดูลาร์ขนาดเล็ก หรือ SMR (Small Modular Reactors)
ดร.ไชยยศ สุนทราภา หัวหน้ากลุ่มอนุญาตสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ จากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (OAP) มองว่า SMR คือวิวัฒนาการของพลังงานนิวเคลียร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์โลกยุคใหม่ ทั้งในแง่ความปลอดภัย ต้นทุน และความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่ยังไม่เคยมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาก่อนอย่างประเทศไทย
หัวใจของ SMR อยู่ที่คำว่า “เล็ก” และ “โมดูลาร์” โรงไฟฟ้าประเภทนี้มีกำลังผลิตไม่เกิน 300 เมกะวัตต์ต่อหน่วย และสามารถผลิตชิ้นส่วนหลักจากโรงงาน ก่อนนำมาประกอบหน้างานราวกับการต่อเลโก้ วิธีคิดแบบนี้ไม่เพียงช่วยลดระยะเวลาก่อสร้าง แต่ยังลดความเสี่ยงจากงานก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนแบบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ดั้งเดิม
แต่สิ่งที่ทำให้ SMR ถูกจับตามองมากที่สุดคือเรื่อง ความปลอดภัย ดร.ไชยยศอธิบายถึงแนวคิด “Walk away safety” หรือความสามารถในการปล่อยให้ระบบดูแลตัวเองได้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือไฟฟ้าดับ ระบบจะระบายความร้อนออกจากแกนปฏิกรณ์โดยอัตโนมัติผ่านกลไกธรรมชาติ เช่น แรงโน้มถ่วงและการไหลเวียนของน้ำ โดยไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของเหตุการณ์รุนแรงที่เคยสร้างภาพจำด้านลบให้กับนิวเคลียร์ในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ
ในระยะเริ่มต้น เทคโนโลยี SMR ที่ใช้น้ำเป็นตัวหล่อเย็นยังถูกมองว่าเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการใช้งานและพิสูจน์มาแล้ว แตกต่างจาก SMR รุ่นใหม่บางประเภทที่ยังอยู่ในห้องทดลองหรือช่วงสาธิตเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่แท้จริงของประเทศไทยในวันนี้ ไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือกฎหมาย ดร.ไชยยศชี้ชัดว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมี พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดจากความเสียหายทางนิวเคลียร์ (Nuclear Liability Act) ก่อนจะก้าวไปสู่ขั้นตอนใด ๆ เพราะหากไม่มีกฎหมายรองรับ หรือไม่เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศ ผู้พัฒนาเทคโนโลยี SMR จะไม่ยอมขายหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ไทยอย่างเด็ดขาด
ข่าวดีคือ ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการจัดทำเรียบร้อยแล้ว และกำลังเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายใน 1–2 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการเตรียมความพร้อมด้านนโยบายพลังงานของประเทศ
ในแง่ผู้ดำเนินโครงการ ดร.ไชยยศมองว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีความเหมาะสมที่สุดในการเป็น “ผู้บุกเบิก” รายแรก เนื่องจากโครงการนิวเคลียร์จำเป็นต้องอาศัยหน่วยงานรัฐที่สังคมให้ความเชื่อถือสูง เพื่อสร้างมาตรฐานและความมั่นใจในช่วงเริ่มต้น
แต่เหนือกฎหมายและเทคโนโลยี สิ่งที่ยากที่สุดกลับเป็นเรื่องที่คำนวณไม่ได้ นั่นคือ ความเชื่อมั่นของประชาชน ดร.ไชยยศเปรียบเทียบอย่างชัดเจนว่า ในเชิงวิศวกรรม นิวเคลียร์คือความแน่นอนเหมือน 2 บวก 2 เท่ากับ 4 แต่ในเชิงความรู้สึก ความกลัวสามารถขยายตัวได้ไกลกว่าสมการใด ๆ
บทเรียนที่น่าสนใจคือกรณีของเกาหลีใต้ ซึ่งสามารถสร้างการยอมรับต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ผ่านการดูแลชุมชนอย่างจริงจัง ตั้งแต่การสร้างงานในพื้นที่ ทุนการศึกษาให้เยาวชน ไปจนถึงการดูแลสุขภาพประชาชนฟรี โมเดลนี้สะท้อนว่า ความปลอดภัยทางเทคนิคต้องเดินคู่กับ “ความเป็นธรรมทางสังคม” จึงจะทำให้โครงการขนาดใหญ่ได้รับการยอมรับอย่างยั่งยืน
ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติยืนยันว่าจะทำงานด้วยความโปร่งใส ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเปิดพื้นที่ให้สังคมตรวจสอบ เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนทัศนคติจาก “ไม่เอาในบ้านฉัน” ไปสู่การตัดสินใจบนฐานของข้อเท็จจริงและเหตุผล
แม้ SMR จะดูมีอนาคต แต่ท่าทีของประเทศไทยยังคงเป็นแบบ “Wait and See” ดร.ไชยยศย้ำว่า ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น รัสเซียและจีน ที่เริ่มใช้งานจริง ขณะที่หลายประเทศยังอยู่ในช่วงทดสอบหรือก่อสร้าง “เราไม่อยากเป็นหนูทดลองของเทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์อย่างเต็มที่” คือจุดยืนที่สะท้อนความระมัดระวังของภาครัฐไทย
ในระยะยาว พลังงานนิวเคลียร์อาจไม่ใช่คำตอบเดียวของระบบพลังงานไทย แต่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยเสริม ความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับพลังงานหมุนเวียน หากประเทศสามารถวางกติกาที่รัดกุม สร้างความเชื่อมั่น และบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ SMR ก็อาจกลายเป็นพลังงานสะอาดที่ช่วยพาไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างมั่นคง
ดร.ไชยยศทิ้งท้ายด้วยการเปรียบเปรยที่เข้าใจง่ายว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็เหมือน “เตาไมโครเวฟในบ้าน” หากมีคู่มือชัดเจน ใช้อย่างถูกวิธี และรู้จักจัดการเมื่อหมดอายุการใช้งาน มันก็เป็นเทคโนโลยีที่ให้ประโยชน์ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเกินเหตุ
ที่มา: The Nation


