posttoday

"แพลตฟอร์มดิจิทัลในมือทุนเทา" โรงงานสแกมเมอร์ สูบเลือดคนไทย

11 พฤศจิกายน 2568

เจาะวิกฤตสแกมเมอร์ "ทุนสีเทา" ใช้ประโยชน์จาก "แพลตฟอร์มดิจิทัล" ตั้งโรงงานสแกมเมอร์ชายแดน ภัยความมั่นคง สูบเลือดคนไทย

 

115,300 ล้านบาทต่อปี คือตัวเลขความเสียหายมหาศาลที่คนไทยต้องสูญเสียไปกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์บนโลกออนไลน์ 

 

ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้สะท้อนแค่ความเดือดร้อนส่วนบุคคลหรือคดีอาชญากรรมธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็น "วิกฤตการณ์ระดับชาติ" ที่กำลังกัดกินความมั่นคงของไทยอย่างรุนแรง ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ

 

ภัยร้ายบนหน้าจอมือถือกำลังคุกคามคนไทยหนักข้อขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน รายงาน ‘State of Scams in Thailand Report – 2025’ ชี้ว่า

 

ในแต่ละวันมีคนไทยถูกหลอกลวงผ่านบัญชีธนาคารเฉลี่ยสูงถึง 800 ราย 

 

ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนชาวไทยที่บรรลุนิติภาวะกว่า 72% เคยเกือบตกเป็นเหยื่อสแกมเมอร์มาแล้ว

 

แต่ที่น่ากังวลคือ ตัวเลขทั้งหมดนี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้เทคโนโลยีเป็นอาวุธเข้าถึงตัวเหยื่อได้แบบไร้พรมแดน

 

"แพลตฟอร์มดิจิทัลในมือทุนเทา" โรงงานสแกมเมอร์ สูบเลือดคนไทย

 

จากชายแดน สู่ "โรงงานสแกมเมอร์"

 

เบื้องหลังสแกมเมอร์ที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่มิจฉาชีพรายย่อยที่ทำกันเอง

 

แต่คือ "ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ" ขนาดใหญ่ ที่จัดตั้งกันเป็น "อุตสาหกรรม" ดำเนินงานอย่างเป็นระบบในพื้นที่ชายแดนรอบประเทศไทย

 

จุดที่เรียกว่า "โรงงานสแกมเมอร์ (Fraud Factories)" จงใจตั้งขึ้นใน "พื้นที่สีเทา" อย่างเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) หรือเมืองชายแดน

 

เช่น สีหนุวิลล์ (กัมพูชา), ชเว ก๊กโก่ (เมียนมา) และบ่อแก้ว (สปป. ลาว) ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่กฎหมายปกติของประเทศนั้นๆ เข้าไปไม่ถึง

 

ทำให้เครือข่ายสแกมเมอร์ปฏิบัติการได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัว

 

ขณะที่ ฝั่งผู้กุมบังเหียน "โรงงานสแกมเมอร์"  ก็คือเครือข่าย "ทุนสีเทา" และ "มาเฟียจีน" ซึ่งเดิมมีเป้าหมายคือเหยื่อชาวจีนด้วยกันเอง 

 

แต่เมื่อการระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจกาสิโนซบเซา เครือข่าย "ทุนสีเทา" และ "มาเฟียจีน" จึงปรับตัวและเบนเข็มเปลี่ยนเป้าหมาย

 

ไปสู่การหลอกลวงระดับนานาชาติ จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Scamdemic"

 

สิ่งที่น่าสะเทือนใจยิ่งกว่าคือ เบื้องหลังปฏิบัติการเหล่านี้ ยังมีกระบวนการค้ามนุษย์สุดโหดร้ายแอบแฝงอยู่

 

เครือข่ายอาชญากรรมจะล่อลวงคนหนุ่มสาวด้วยข้อเสนอเงินเดือนสูงลิ่ว เมื่อเหยื่อหลงกลจนเดินทางไปถึง ก็จะถูกยึดพาสปอร์ต บังคับให้เป็นสแกมเมอร์

 

ใครขัดขืนก็ถูกซ้อมทรมานด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้า หรือถูกขายทอดต่อไปยังแก๊งอื่น

 

"แพลตฟอร์มดิจิทัลในมือทุนเทา" โรงงานสแกมเมอร์ สูบเลือดคนไทย

 

โซเชียลมีเดีย ช่องทางทำมาหากิน โดยปล่อยปละละเลย

 

อาชญากรข้ามชาติจะทำภารกิจลุล่วงไปไม่ได้เลยหากปราศจาก "ช่องทาง" ในการเข้าถึงเหยื่อ ซึ่งก็คือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ทุกมีอยู่ในสมาร์ทโฟน

 

รายงาน ‘State of Scams in Thailand Report – 2025’ ระบุว่า Facebook คือแพลตฟอร์มที่คนไทยถูกหลอกมากที่สุด

 

และโฟกัสก็พุ่งตรงไปที่ Meta บริษัทแม่ของ Facebook หลังสำนักข่าว Reuters  เปิดโปงเอกสารลับภายในที่ชื่อว่า 'Scammiest Scammers' โดยเนื้อหาระบุว่า

 

  • Meta มีรายได้มหาศาลจากโฆษณาของกลุ่มสแกมเมอร์ คาดว่ามีมูลค่าสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเกือบ 10% ของรายได้รวมในปี 2567)

 

  • บริษัทรับรู้ปัญหานี้มานานกว่า 3 ปี แต่แทนที่จะแบนบัญชีสแกมเมอร์เหล่านี้ทันที Meta กลับเลือกใช้นโยบาย "เรียกเก็บค่าโฆษณาแพงขึ้น"

 

ด้วยเหตุนี้เอง ปัญหาจึงไม่ใช้แค่การตั้งคำถามเชิงจริยธรรมหรือจรรยาบรรณ แต่ควรเป็นโมเดลธุรกิจลักษณะนี้จงใจ "กอบโกย" ผลกำไรจากความทุกข์ของผู้ใช้งานหรือไม่?

 

จริงอยู่ที่ Meta ไม่ได้เป็นต้นขั้วโรงงานผลิตสแกมเมอร์ออกมาเดินเพ่นพ่าน แต่ Meta กลายเป็น "ผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากสแกมเมอร์ทั่วโลก"

 

และปล่อยให้แพลตฟอร์มของตัวเองกลายเป็น "ตลาดมืด" ที่ย้อนกลับมาสร้างความเสียหายให้สังคมไทยได้มหาศาล

 

"แพลตฟอร์มดิจิทัลในมือทุนเทา" โรงงานสแกมเมอร์ สูบเลือดคนไทย

 

ภัยสแกมเมอร์สะเทือนรากฐานสังคมไทย

 

ความเสียหายจากวิกฤตสแกมเมอร์ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเลข 115,300 ล้านบาทต่อปี

 

แต่วิกฤตสแกมเมอร์กำลังลุกลามกัดกร่อนไปถึงรากฐานโครงสร้างทางสังคมของไทย และบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศอย่างน่ากลัว

 

หากมองในมิติเศรษฐกิจ ภัยจากสแกมเมอร์เชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทา ซึ่งสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจไทยในภาพรวมกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 10% ของ GDP ประเทศ

 

ขณะที่ในมิติสังคม สิ่งที่น่ากังวลคือปรากฏการณ์ "ความมั่นใจย้อนแย้ง (Confidence Paradox)" โดยข้อมูลชี้ว่า คนไทยกว่า 76% เชื่อมั่นว่าตนเองสามารถแยกแยะมิจฉาชีพได้

 

แต่ที่น่าตกใจคือ 66% ของกลุ่มที่มั่นใจนี้ กลับเคยตกเป็นเหยื่อสแกมเมอร์จริงๆเสียอย่างนั้น

 

สะท้อนชัดว่า กลยุทธ์ทางจิตวิทยาของอาชญากรนั้นล้ำหน้ากว่าความระมัดระวังของคนทั่วไปอยู่หลายก้าว

 

รูปแบบที่สร้างความเจ็บปวดและสะเทือนใจที่สุด หนีไม่พ้นการ "หลอกลงทุน" และ "Pig Butchering Scam" (หลอกให้รักแล้วโอน)

 

ที่ไม่ได้ฉกฉวยแค่ทรัพย์สินของเหยื่อไปจนหมดตัว แต่ยังทำลายสภาพจิตใจเหยื่ออย่างเลือดเย็น

 

ผลกระทบทั้งหมดนี้ ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่ความเสียหายภายในประเทศ แต่ยังสั่นคลอนภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของไทยในสายตาชาวต่างชาติ

 

โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวสำคัญอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีน

 

จนรัฐบาลไทยต้องประกาศให้การปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์เป็น "วาระแห่งชาติ" ซึ่งคือเครื่องยืนยันว่า

 

ปัญหานี้ได้ยกระดับกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติไปเรียบร้อยแล้ว

 

"แพลตฟอร์มดิจิทัลในมือทุนเทา" โรงงานสแกมเมอร์ สูบเลือดคนไทย

 

เปิดแนวทางฝ่าวิกฤต "สแกมเมอร์"

 

ภัยจากสแกมเมอร์ไม่ใช่แค่คดีอาชญากรรมรายวัน หรือปัญหาส่วนบุคคล แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอธิปไตยทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นเดิมพัน 

 

การจะ ฝ่าวิกฤต "สแกมเมอร์" ในครั้งนี้ได้ ประเทศไทยจำเป็นต้องเดินหน้าพร้อมกันใน 3 ด้าน 

 

1. ด้านประชาชน (สร้างเกราะ): ต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้คนไทยรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกง ที่นับวันยิ่งแนบเนียนและซับซ้อนขึ้นทุกที

 

2. ด้านแพลตฟอร์ม (คุมเข้ม): ถึงเวลาที่รัฐต้องดึงบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ข้ามชาติเข้ามาร่วมรับผิดชอบ ต้องใช้กฎหมายคุมเข้มและบีบให้มีมาตรการป้องกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มกลายเป็น "ช่องทาง" ของสแกมเมอร์เพื่อแลกกับผลกำไร

 

3. ด้านรัฐบาล (กวาดล้าง): ยกระดับการ "ไล่ล่า" อาชากรข้ามแดน ผ่านการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างแข็งขัน และที่สำคัญที่สุด คือต้อง "ตัดท่อน้ำเลี้ยง" ด้วยการอายัดเส้นทางการเงินในประเทศให้เฉียบขาดและรวดเร็ว

 

หากทุกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย เกี่ยงกันไปมา หรือช้าไปแม้แต่เพียงก้าวเดียว ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชีธนาคารที่สูญเสียไป

 

แต่คือความเชื่อมั่นในสังคมและรากฐานความมั่นคงของประเทศที่ถูกทำลายลง จนยากจะหวนคืน

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ลีดส์ พบ ลิเวอร์พูล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 6 ธ.ค.68