posttoday

ยุทธศาสตร์ลดโลกร้อนฉบับใหม่ (NDC 3.0) ของไทย โอกาสและความท้าทายบนเวที COP30

09 พฤศจิกายน 2568

ไทยเตรียมประกาศยุทธศาสตร์ NDC 3.0 ในเวที COP30 ที่บราซิล เร่งสู่ Net Zero ปี 2050 ลดก๊าซเรือนกระจก 47% พร้อมดึงลงทุนสีเขียว 2.3 แสนล้านบาท

KEY

POINTS

  • ไทยเตรียมประกาศยุทธศาสตร์ NDC 3.0 ในเวที COP30 โดยตั้งเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายขึ้น คือการเร่งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 47% ภายในปี 2035
  • ยุทธศาสตร์นี้สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจโดยตั้งเป้าดึงดูดการลงทุนสีเขียวจากต่างประเทศกว่า 230,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและใช้กลไกคาร์บอนเครดิต (Article 6.2) สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ
  • ความท้าทายสำคัญคือต้นทุนทางการเงินที่สูง ความเสี่ยงจากการพึ่งพาการสนับสนุนจากต่างชาติที่ไม่แน่นอน และความซับซ้อนในการบูรณาการนโยบายเพื่อลดก๊าซใน 5 ภาคส่วนหลัก (พลังงาน, อุตสาหกรรม, เกษตร, ของเสีย, ป่าไม้)

ก้าวสำคัญของประเทศไทยบนเวทีโลกร้อน COP30

เมื่อโลกกำลังเผชิญกับภาวะสภาพภูมิอากาศรุนแรงอย่างสุดขั้วและต่อเนื่อง การประชุมสมัชชาภาคีแห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP30 ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลระหว่าง วันที่ 10 – 21 พฤศจิกายน 2025  จึงเป็นอีกหนึ่งเวทีประวัติศาสตร์ที่สายตาทั่วโลกจับจ้อง นี่คือจุดที่ประเทศต่าง ๆ จะมาร่วมกันกำหนดทิศทางของโลกใบนี้ ว่าจะเดินหน้ารับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างไรให้เกิดผลจริง

 

ยุทธศาสตร์ลดโลกร้อนฉบับใหม่ (NDC 3.0) ของไทย โอกาสและความท้าทายบนเวที COP30

 

สำหรับประเทศไทย ปีนี้มีความหมายยิ่งกว่าครั้งใด เพราะเป็นจังหวะที่รัฐบาลเตรียมประกาศ “ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 3” หรือ Nationally Determined Contribution (NDC 3.0) แผนแม่บทระดับชาติที่สะท้อนความมุ่งมั่นใหม่ของไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์ฉบับใหม่นี้ไม่เพียงเป็นเอกสารเชิงเทคนิค หากแต่เป็น “คำประกาศเจตจำนง” ของประเทศไทยต่อประชาคมโลก ว่าเราพร้อมจะเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่สมดุลทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของผู้คน 

 

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะผู้แทนไทยเตรียมการเข้าร่วมประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP 30)

 

"NDC 3.0" แผนที่เส้นทางใหม่ของไทยสู่ Net Zero

NDC 3.0 เป็นกรอบการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยสำหรับช่วงปี พ.ศ. 2574–2578 (ค.ศ. 2031–2035) ซึ่งถือเป็นทศวรรษแห่งการเร่งเครื่องจริงจังในการลดก๊าซเรือนกระจก ยุทธศาสตร์นี้ครอบคลุม 5 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ พลังงานและคมนาคมขนส่ง, กระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์, เกษตร, ของเสีย และป่าไม้กับการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยทั้งหมดนี้ถูกวางให้เป็น “ระบบเชื่อมโยงกัน” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

 

หัวใจสำคัญของ NDC 3.0 คือการเร่งเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

จากเดิมปี ค.ศ. 2065 มาเป็น ปี ค.ศ. 2050 การปรับเป้าหมายครั้งนี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานที่ไม่เพียงตอบสนองพันธกรณีภายใต้ความตกลงปารีส แต่ยังสอดคล้องกับแนวทาง “1.5°C Pathway” ที่มุ่งควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นเส้นแบ่งสำคัญระหว่างโลกที่ยังพอปรับตัวได้กับโลกที่กำลังร้อนจนวิกฤต

 

หมุดหมายปี 2035 ลดการปล่อยก๊าซ 47% จากปีฐาน 2019

เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในอีก 25 ปีข้างหน้า ไทยได้วางหมุดหมายระยะกลางในปี ค.ศ. 2035 (พ.ศ. 2578) ซึ่งถือเป็น “ช่วงทดสอบความจริง” ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด โดยตัวเลขหลักในร่าง NDC 3.0 มีดังนี้:

  • ระดับการปล่อยก๊าซปีฐาน (2019) อยู่ที่ 379 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก 109.2 ล้านตัน โดย 70% จะดำเนินการโดยใช้ขีดความสามารถของประเทศเอง ส่วนอีก 30% จะต้องพึ่งพากลไกสนับสนุนจากต่างประเทศ เช่น เงินช่วยเหลือ, เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, การลงทุน, หรือการค้ำประกัน ภายใต้กลไกของอนุสัญญาฯ
  • เป้าหมายการปล่อยสุทธิ ไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ลดลงร้อยละ 47 จากปีฐาน)
  • เป้าหมายการดูดกลับ เพิ่มขีดความสามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกจาก 107 ล้านตัน เป็น 118 ล้านตัน

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป้าหมายสุทธิ 152 ล้านตันนี้เป็นผลจากยุทธศาสตร์ “สองง่าม” ทั้งการลดการปล่อยและการเพิ่มศักยภาพการดูดกลับ ผ่านกลไกทางธรรมชาติอย่างป่าไม้ ป่าชายเลน และระบบนิเวศที่ฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน

 

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้จัดทำ แผนการลงทุนเพื่อดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศมูลค่า 230,000 ล้านบาท (ประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวม 32.8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ พร้อมสร้างโอกาสในการลงทุนสีเขียวและเทคโนโลยีสะอาดในประเทศไทย

 

ทั้งนี้ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCC) ได้จัดส่งร่าง NDC 3.0 ต่อ สำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) อย่างเป็นทางการแล้ว และจะนำเสนอแผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ต่อที่ประชุม COP30 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อประกาศความมุ่งมั่นของประเทศไทยต่อประชาคมโลก ว่าไทยพร้อมเดินหน้าอย่างจริงจังในการรับมือกับวิกฤตโลกร้อน และร่วมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนโลกสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

 

สองแนวทางเดิน แบบมีเงื่อนไขและไม่มีเงื่อนไข

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ NDC 3.0 ได้วางแนวทางดำเนินงานไว้สองรูปแบบ คือ

  • การดำเนินการโดยไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Target): ครอบคลุม 70% ของเป้าหมายทั้งหมด โดยอาศัยขีดความสามารถและทรัพยากรในประเทศเป็นหลัก
  • การดำเนินการแบบมีเงื่อนไข (Conditional Target): อีก 30% ที่เหลือ ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากต่างประเทศ ทั้งในรูปของเงินทุน เทคโนโลยี และการเสริมศักยภาพบุคลากร

แนวทางนี้เปิดโอกาสให้ประเทศไทย “ยืดหยุ่นแต่มั่นคง” ใช้พลังของตนเองควบคู่กับการเชื่อมต่อทรัพยากรระดับโลก เพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านที่ทั้งเป็นไปได้และยั่งยืน

 

โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ จากพันธกรณีสู่แต้มต่อทางเศรษฐกิจ

การยกระดับเป้าหมายใน NDC 3.0 มิใช่เพียงการ “ทำตามข้อตกลง” แต่เป็นการพลิกเกมทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศของไทยอย่างชาญฉลาด เพราะการตั้งเป้าที่ชัดเจนและทะเยอทะยานมีแนวโน้มจะสร้างผลประโยชน์หลากหลายมิติ ได้แก่

  • เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เมื่อโลกกำลังเข้มงวดกับมาตรการสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป ประเทศที่ปรับตัวได้ก่อนจะได้ “แต้มต่อ” ในการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

 

  • ดึงดูดการลงทุนสีเขียว ไทยตั้งเป้าดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศกว่า 230,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการลดการปล่อยก๊าซ 32.8 ล้านตัน ซึ่งจะช่วยสร้างอุตสาหกรรมใหม่ งานใหม่ และระบบเศรษฐกิจที่หมุนเวียนยั่งยืน

 

  • เสริมภาพลักษณ์บนเวทีโลก การประกาศเป้าหมาย NDC 3.0 ที่ COP30 จะเป็น “ข้อความแห่งความมุ่งมั่น” ของไทยต่อประชาคมโลก ว่าประเทศเราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา

 

ความท้าทายที่รออยู่ ต้นทุนสูงและความซับซ้อนในทางปฏิบัติ

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่สูงย่อมมาพร้อมความท้าทายมหาศาล โดยเฉพาะในสามประเด็นหลัก ได้แก่

1. ความท้าทายทางการเงิน เงินลงทุนจากต่างประเทศ 230,000 ล้านบาท ครอบคลุมเพียง 30% ของเป้าหมาย (ส่วนมีเงื่อนไข) เท่านั้น ต้นทุนรวมจริงของประเทศอาจสูงกว่านี้หลายเท่าตัว ซึ่งอาจกลายเป็นภาระทางการคลังและต้องการนโยบายสนับสนุนทางเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นกว่าที่เคย

 

2. ความเสี่ยงจากการพึ่งพาต่างชาติ หากการสนับสนุนจากต่างประเทศไม่เป็นไปตามคาด ไทยจำเป็นต้องมี “แผนสำรอง” เพื่อไม่ให้การดำเนินงานหยุดชะงัก

 

3. อุปสรรคใน 5 ภาคส่วนหลัก การลดก๊าซในพลังงาน ขนส่ง เกษตร ของเสีย และป่าไม้ ต้องอาศัยการบูรณาการเชิงนโยบาย กฎหมาย และแรงจูงใจทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งเป็นภารกิจที่ซับซ้อนและต้องอาศัย “ความร่วมมือข้ามกระทรวง” อย่างแท้จริง

 

กลไกข้อ 6.2 ของความตกลงปารีส กุญแจปลดล็อกการสนับสนุนจากโลก

หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ไทยจะนำเสนอในเวที COP30 คือ กลไกข้อ 6.2 ของความตกลงปารีส (Article 6.2) ซึ่งเปิดทางให้ประเทศต่าง ๆ แลกเปลี่ยน “คาร์บอนเครดิต” ที่เกิดจากโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นทางการ นี่คือแนวทางที่สามารถระดมทุนจากต่างชาติและสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมได้จริง

 

ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศแรกของโลกที่ใช้กลไกนี้สำเร็จแล้ว ผ่านโครงการ รถโดยสารประจำทางไฟฟ้า (EV Bus) ของบริษัท ไทย สมายล์ บัส ซึ่งมีการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตจริงระหว่างประเทศ ปัจจุบัน ไทยได้ลงนามความร่วมมือแล้วกับ สวิตเซอร์แลนด์, ญี่ปุ่น (JCM), และสิงคโปร์ และกำลังพัฒนาโครงการใหม่ เช่น โครงการป่าชายเลน และการจัดการขยะอาหาร เพื่อขยายผลในอนาคต

 

ความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยไม่เพียงมี “เป้าหมาย” แต่เริ่มมี “เครื่องมือ” ที่จะทำให้เป้าหมายนั้นเป็นจริง

 

เดิมพันครั้งใหญ่เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

การประกาศ NDC 3.0 ในเวที COP30 คือบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ของประเทศไทย ว่าเราสามารถก้าวข้ามจาก “คำมั่น” สู่ “การลงมือทำ” ได้จริงหรือไม่ ยุทธศาสตร์ฉบับนี้คือการเดิมพันระหว่างการรับผิดชอบต่อโลกกับการสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ

 

ในท้ายที่สุด ตัวเลขเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อเรามี “แผนปฏิบัติการ (Action Plan)” ที่ชัดเจน มีระบบ ติดตามผลแบบดิจิทัล (Digital Tracking) ที่โปร่งใส และมี “พลังร่วม” จากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม

 

เพราะการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่คือภารกิจร่วมกันของคนไทยทุกคน เพื่อให้โลกที่เราทิ้งไว้ข้างหลังนั้น เย็นลงกว่าที่เราเป็นอยู่ในวันนี้

 

ข่าวล่าสุด

SMEs ไทย อนาคตยั่งยืน ผ่านโครงการ SIP 2025 เปลี่ยนแนวคิดสู่การลงมือ