"รถไฟจีน" หวานอมขมกลืน หนี้บาน-งานช้า เปิดช่อง "ญี่ปุ่น" ชิงเค้ก
"โครงการรถไฟความเร็วสูง" จีนสะดุด หนี้ท่วม-งานช้า เปิดช่องญี่ปุ่นชิงเค้ก กำหนดอนาคตเศรษฐกิจทั้งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ตามรายงานจากสำนักข่าว Bloomberg แผนการอันยิ่งใหญ่ของจีนในการเชื่อมโยงเอเชียด้วยเครือข่าย "รถไฟความเร็วสูง" ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกยกเป็นเรือธงเพื่อแสดงแสนยานุภาพของโมเดลการพัฒนาที่นำโดยรัฐ กำลังสะดุดครั้งใหญ่
ปัญหาโครงการที่ล่าช้าเป็นปีๆ บวกกับภาระหนี้สินที่พอกพูน กำลังทำให้ยุทธศาสตร์ "การทูตทางรถไฟ" (Railway Diplomacy) ของปักกิ่งเริ่มไปต่อไม่ไหว
สถานการณ์นี้กลับกลายเป็นการเปิดโอกาสทองให้คู่แข่งตลอดกาลอย่างญี่ปุ่น พันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ได้กลับมามีบทบาทอีกครั้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ต้องเข้าใจว่าโครงการดังกล่าวไม่ใช่แค่การแข่งกันสร้างรถไฟ แต่คือการชิงอิทธิพลเพื่อกำหนดอนาคตทางเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
เพราะรถไฟหนึ่งสาย ไม่ได้มาแค่รางและขบวนรถ แต่มาพร้อม "พันธะหนี้" ระยะยาว สัญญาบำรุงรักษา และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่จะผูกมัดประเทศผู้รับไว้กับผู้ให้ไปอีกนานแสนนาน
"Whoosh" บทเรียนราคาแพงจากอินโดนีเซีย
บทเรียนล่าสุดที่เห็นภาพชัดที่สุด คือโครงการรถไฟความเร็วสูง "Whoosh" ในอินโดนีเซีย ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2023 ในฐานะรถไฟความเร็วสูงสายแรกในอาเซียน เชื่อมจาการ์ตากับเมืองบันดุง
โครงการนี้ใช้เงินกู้จากจีนถึง 75% จากมูลค่าเต็ม 7.2 พันล้านดอลลาร์ เดิมทีต้องเสร็จตั้งแต่ปี 2019 แต่กลับล่าช้ามาหลายปี แถมงบยังบานปลายไปอีกกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
จากที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพอันแนบแน่นระหว่างปักกิ่งและจาการ์ตา วันนี้กลับกลายเป็น "กรณีศึกษา" ชิ้นเอกที่สะท้อนความเสี่ยงของโมเดลแบบจีน
เมื่อจำนวนผู้โดยสารต่ำกว่าเป้า แถมต้นทุนการเดินรถกลับสูงลิ่ว กลุ่มทุนฝั่งอินโดนีเซียจึงขาดทุนยับ
สุดท้าย รัฐบาลอินโดนีเซียจึงต้องหันหน้ามาเปิดโต๊ะเจรจาขอ "ปรับโครงสร้างหนี้" กับจีน เรียกได้ว่าเป็นอุทาหรณ์ราคาแพงที่พอชี้ให้เห็นอะไรอยู่บ้าง
ย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน ทั้งญี่ปุ่นและจีนต่างก็แย่งกันประมูลโครงการนี้ แม้ญี่ปุ่นจะเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่า แต่รัฐบาลอินโดนีเซียกลับตัดสินใจเลือกจีน…
และตอนนี้ คำถามคงดังก้องในใจชาวจาการ์ตาว่า "วันนั้น คิดถูกหรือคิดผิด"
"แพ็คเกจเดียวจบ" ที่ไม่จบง่ายๆ
ต้องยอมรับว่าข้อเสนอของจีนนั้น "เย้ายวนใจ" เพราะมาแบบ "แพ็คเกจครบวงจร" (One-stop service) ทั้งเงินทุน ก่อสร้าง และเทคโนโลยี
ความสำเร็จมหาศาลในบ้านตัวเองที่สามารถสร้างเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ในเวลาไม่กี่ปี ทำให้จีนมั่นใจที่จะส่งออกโมเดลนี้ไปทั่วโลก
แต่ยิ่งขยายตัว ภาระผูกพันก็ยิ่ง "รัดคอ" สัญญาที่ไม่โปร่งใส การประเมินผลประโยชน์ที่สวยหรูเกินจริง และปัญหาการเมืองภายใน กลายเป็นเงื่อนไขที่ตามมาหลอกหลอนในหลายโครงการ
ไม่ว่าจะเป็นในไทยหรือมาเลเซีย ที่ต้องมีการรื้อเจรจาสัญญากันใหม่เพราะกังวลเรื่องกับดักหนี้และการทุจริต หรือในฟิลิปปินส์ที่ยกเลิก 3 โครงการรวดเพราะปัญหาขัดแย้งในทะเลจีนใต้
ตั้งแต่โครงการรถไฟในไนจีเรีย ไปจนถึงบทเรียนการผิดนัดชำระหนี้ของศรีลังกา อันตรายจากเงื่อนไขเงินกู้ของปักกิ่งกำลังฉายภาพชัดขึ้นทุกทีจนยากจะเมินเฉย
โอกาสทองของ "ชินคันเซ็น"
ด้วยปัญหานานาจิตตังที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จึงเป็น "จังหวะทอง" ของญี่ปุ่น ผู้บุกเบิก "ชินคันเซ็น" มาตั้งแต่ปี 1964 และปัจจุบันกำลังก่อสร้างเส้นทางมุมไบ-อาเมดาบัด ระยะทาง 508 กิโลเมตรในอินเดีย
โดยรัฐบาลญี่ปุ่นตกลงให้เงินสนับสนุนถึง 81% ของงบประมาณ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นพิเศษ
การจับมือกันระหว่างสองประเทศประชาธิปไตยขนาดใหญ่ จึงเป็นโมเดลที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เพื่อคานอิทธิพลของปักกิ่ง
แต่โจทย์ใหญ่ของญี่ปุ่นคือ "อย่าเผลอไปเล่นเกมตัดราคา" แข่งกับจีน
จุดแข็งของญี่ปุ่นอยู่ที่การส่งมอบคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานที่เหนือกว่า แหล่งเงินทุนที่น่าเชื่อถือ และความไว้วางใจ
การเสนอแพ็คเกจที่รวมการบำรุงรักษา การถ่ายทอดเทคโนโลยี และความน่าเชื่อถือในระยะยาว จะช่วยให้ญี่ปุ่นกระชับความสัมพันธ์ในภูมิภาคได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
สมรภูมิในอนาคต ทั้งที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ หรือโครงการเชื่อมสิงคโปร์-มาเลเซีย ยังรออยู่
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าในช่วงปี 2020 ถึง 2035 หนึ่งในสามของการขยายทางรถไฟในเอเชียจะเป็นรถไฟความเร็วสูง
ประเทศไหนก็ตามที่ชนะสัญญา ไม่เพียงแต่จะได้สัญญามหาศาล แต่ยังจะได้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานและทิศทางการเติบโตของทั้งภูมิภาคไปอีกหลายทศวรรษ


