เมื่อความเชื่อมั่นคือพลังงานรูปแบบใหม่ของญี่ปุ่น The New Nuclear Era
เมื่อนายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ของญี่ปุ่น “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” ประกาศความตั้งใจในการพึ่งพาพลังงานภายในประเทศเป็นหลัก โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ SMR (Small Modular Reactor)
KEY
POINTS
- ญี่ปุ่นกลับมาพึ่งพานโยบายพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้ง โดยมุ่งเน้นเทคโนโลยี SMR (Small Modular Reactor) เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและลดการพึ่งพาการนำเข้า
- ความท้าทายหลักไม่ใช่อยู่ที่เทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างการยอมรับจากประชาชน ซึ่งมีความเห็นต่างกันระหว่างคนรุ่นเก่าที่ยังกังวลกับคนรุ่นใหม่ที่มองว่าเป็นทางออกของวิกฤตพลังงาน
- รัฐบาลใช้กลยุทธ์สร้าง "ความเชื่อมั่น" ผ่านความโปร่งใส เช่น การเปิดให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลโรงไฟฟ้าได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อความสำเร็จของนโยบาย
ประเทศญี่ปุ่นได้กลับเข้าสู่เส้นทางนิวเคลียร์ครั้งหลังจากเกิดเหตุการณ์ฟูกุชิม่าเมื่อ 14 ปีที่แล้ว และเมื่อนายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” ประกาศถึงความตั้งใจในการพึ่งพาพลังงานภายในประเทศเป็นหลัก โดยเน้นในการพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ SMR (Small Modular Reactor) เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานและลดการปลดปล่อยคาร์บอน ยุคใหม่ของพลังงานนิวเคลียร์จะเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มความโปร่งใสของกระบวนการอย่างเป็นระบบ
นโยบายหลักของนายกฯคนใหม่ในด้านพลังงานสะอาด ได้แก่ การลดการพึ่งพาแผงโซล่าเซลล์นำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน และสนับสนุนซัพพลายเชนในประเทศแทน โดยเฉพาะการผลิตแผงโซล่าเซลล์ชนิด Perovskite หรือ “เพอรอฟสไกต์” (Perovskite Solar Cells – PSCs อ่านรายละเอียดได้ใน"ญี่ปุ่นล้ำ รุกพัฒนาเทคโนโลยี PSC โซลาร์เซลล์แบบบาง เบา ยืดหยุ่น") รัฐบาลใหม่มีความตั้งใจที่จะพัฒนาพลังงานลมทะเล (Offshore wind) และ พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal) ที่ได้ทำการศึกษาวิจัยมาแล้ว นอกจากนั้น ในอนาคตจะมีการส่งเสริมเงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบไฟฟ้า 2 ล้านล้านเยน ประกอบไปด้วยการปรับปรุงระบบสายส่งไฟฟ้า การลงทุนในด้าน Hydrogen, Ammonia Co-Firing, และระบบกักเก็บพลังงานรูปแบบ Battery Energy Storage System (BESS)
ต้องยอมรับว่าการที่ญี่ปุ่นหันกลับมาพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกครั้งเป็นสิ่งที่มีความทะเยอทะยานมาก เพราะจริงๆ แล้วประเด็นเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ในปัจจุบันไม่ได้เกี่ยวกับความท้าทายทางด้านเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่เป็นการรับรู้และความทรงจำในแง่ลบต่อเหตุการณ์นิวเคลียร์เมื่อปี 2011 ต่างหากที่ยังติดอยู่ในใจ โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่เคยผ่านเหตุการณ์นั้นมา
มีการศึกษาของ Tsujikawa และคณะ (2016) พบว่าผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีความไม่ไว้วางใจสูงต่อระบบ แม้ว่าเขาจะทราบถึงความปลอดภัยของเทคโนโลยี SMR ก็ตาม แต่ในทางกลับกัน คนหนุ่มสาวและวัยทำงานที่อายุต่ำกว่า 35 ปีเชื่อว่าเทคโนโลยี SMR จะสามารถตอบโจทย์ของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติพลังงานและการลดการปลดปล่อยคาร์บอน ซึ่งความแตกต่างในด้านความคิดเห็นระหว่างวัย เป็นปัจจัยหลักในการวางกลยุทธ์ของระบบนิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น
นายกฯซานาเอะ จึงเน้นย้ำไปที่การเพิ่มความโปร่งใส มีการประกาศแผนที่เรียกว่า “Technical Transparency” ที่เปิดให้ประชาชนสามารถตรวจสอบโรงไฟฟ้าได้แบบเรียลไทม์ โดยสามารถตรวจสอบค่ารังสีที่ปลดปล่อยออกมาจากโรงไฟฟ้าได้ผ่านเครื่องมือ “Public Safety Dashboard”
เมื่อการรับรู้ของพลังงานนิวเคลียร์เปลี่ยนไป จากความกลัวกลายเป็นความจำเป็นเร่งด่วน มีการศึกษาหนึ่งโดย Guy et al. (2024) พบว่า ช่วงหลังจากวิกฤตพลังงานในปี 2022 กลุ่มคนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่นมีมุมมองในแง่บวกต่อพลังงานนิวเคลียร์มากขึ้น เพราะพวกเขาเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ปัญหาวิกฤติพลังงานและวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนรุ่นใหม่มองเทคโนโลยี SMR และนิวเคลียร์ Fusion เป็นโอกาส ไม่ใช่ความเสี่ยงอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนสูงอายุก็ยังมีภาพจำที่ไม่ดีต่อพลังงานนิวเคลียร์อยู่ดี แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ พวกเขายอมรับให้ญี่ปุ่นสามารถมีพลังงานนิวเคลียร์ได้บ้าง เพื่อที่จะไม่ต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้าเป็นหลักอีกต่อไป
ในบริบทนี้ ความเชื่อมั่นอาจเป็นพลังงานในรูปแบบใหม่ ความตั้งใจที่จะนำนิวเคลียร์กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง อาจจะไม่ใช่แค่การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่ แต่คือการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างรัฐบาลกับประชาชนชาวญี่ปุ่น ที่จะมาพร้อมกับประสิทธิภาพ เสถียรภาพ ความปลอดภัย และความโปร่งใส การสร้างความเข้าใจร่วมกัน เป็นหนทางไปสู่โอกาสใหม่ๆในทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น เมื่อเราต้องการสร้างความปลอดภัยในเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เราจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่น (Trust) ต่อประชาชนก่อน การเสวนาเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ ประเด็นหลักอาจจะไม่ใช่เรื่องความปลอดภัยในทางเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่เป็นการรับรู้และความเชื่อมั่นต่อระบบ (สามารถหาอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับความปลอดภัยในเทคโนโลยีเอสเอ็มอาร์ได้ในบทความนี้: ผ่า SMR ชวนหาคำตอบ เกิด-ไม่เกิด? กับ 'สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ')
สิ่งที่เราเห็นจากตัวอย่างในประเทศญี่ปุ่นก็คือ การรับรู้ของประชาชนในเจนเนอเรชั่นที่แตกต่างกัน อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะเปิดกว้างต่อนิวเคลียร์มากกว่าผู้สูงอายุ พวกเขาไม่ได้ไม่กลัวอันตรายของนิวเคลียร์ แต่พวกเขาคิดว่านิวเคลียร์จำเป็นและจะสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า
การถอดบทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า ถึงแม้เทคโนโลยีจะก้าวล้ำไปมากขนาดไหน แต่หากขาดความเชื่อมั่นจากภาคประชาชน นโยบายนี้ก็ไม่มีวันสำเร็จ หากมองในอีกมุมหนึ่ง ประชาชนอาจจะกลัวการปิดบังข้อมูล มากกว่าคลื่นรังสีที่ปล่อยออกมาจากโรงไฟฟ้าก็เป็นได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การบอกกับสาธารณะว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปลอดภัย แต่มันปลอดภัยอย่างไรมากกว่า?
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Tsujikawa, N., Tsuchida, S., & Shiotani, T. (2016). Changes in the Factors Influencing Public Acceptance of Nuclear Power Generation in Japan Since the 2011 Fukushima Daiichi Nuclear Disaster. Risk Analysis, 36(1), 98-113. DOI: 10.1111/risa.12447


