‘พิพัฒน์’ ยันไม่ยกเลิกสัญญาไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินมูลค่า 2.2 แสนล้าน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันที่ทำเนียบรัฐบาลวันนี้ (7 ตุลาคม 2568) ว่าขณะนี้ยังไม่มีการยกเลิกสัญญา โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) มูลค่าราว 2.24 แสนล้านบาท

 

โดยระบุว่าในสัปดาห์หน้า กระทรวงคมนาคมจะเชิญบริษัทเอกชนคู่สัญญามาหารือร่วมกัน เพื่อร่วมหาทางออกแก้ปัญหาของโครงการ โดยจุดหลักที่จะหารือครอบคลุม 2 เรื่องสำคัญคือ

 

1. ภาครัฐสามารถคืนพื้นที่ให้เอกชนได้หรือไม่

2. อุปสรรคหรือเงื่อนไขใดที่เป็นปัญหาสำหรับเอกชนในการดำเนินงาน 

 

ทั้งนี้ เขาระบุว่าในสัญญาที่ได้ลงนามไว้ก่อนหน้า จะปฏิบัติตามข้อแนะนำของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยหากมีข้อที่รัฐหรือเอกชนไม่สามารถดำเนินการได้ ก็อาจต้องปรับแก้สัญญาตามคำแนะนำ 

 

"สัญญาที่เซ็นไปแล้วนั้น ที่ผ่านมาได้หารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดว่า กระทรวงคมนาคมจะพยายามทำตามข้อแนะนำ สัญญาส่วนไหนที่เราสามารถทำได้ รัฐต้องดำเนินการ แต่สัญญาส่วนไหนที่รัฐทำไม่ได้ หรือผู้ประกอบการทำไม่ได้ เราต้องมานั่งดูกัน โดยการแก้สัญญาเราจะทำตามคำแนะนำของอัยการสูงสุด"

 

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการเลื่อนเปิดพื้นที่หลุมยุบถนนสามเสนหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ว่าสาเหตุที่มีการเลื่อน เพราะนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้รื้อฝั่ง สน. สามเสน เพราะยังเสี่ยงอันตราย จึงขอรื้อสถานีตำรวจสามเสนให้เรียบร้อยก่อน จึงไม่สามารถคืนพื้นผิวจราจรได้ทันตามกำหนดวันที่ 8 - 9 ตุลาคม นี้ หลังจากนั้นจะลงทรายหินคลุก และวัสดุอื่น ๆ เพื่อคืนพื้นผิวจราจรต่อไป

 

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา)

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงสนามบินหลัก 3 แห่ง ได้แก่ ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา เข้าด้วยกันในระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 224,544 ล้านบาท

 

โครงการนี้ดำเนินการโดย การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และเอกชนคู่สัญญา คือ กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด (Asia Era One) ที่มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) เป็นแกนนำ ภายใต้รูปแบบ PPP (Public-Private Partnership) ที่ให้เอกชนลงทุนก่อสร้าง ดำเนินงาน และบำรุงรักษาในระยะเวลา 50 ปี

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มโครงการในปี 2562 เป็นต้นมา โครงการประสบปัญหาล่าช้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการ ส่งมอบพื้นที่จากภาครัฐ ที่ยังไม่แล้วเสร็จในหลายจุด รวมถึง การปรับโครงสร้างทางการเงินของเอกชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ

 

ประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดความกังวลในช่วงหลัง คือ ข่าวลือเรื่องการ ยกเลิกสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน ซึ่งอาจกระทบต่อภาพรวมการพัฒนา EEC และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ

 

ล่าสุด (7 ตุลาคม 2568) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ออกมายืนยันว่า “ยังไม่มีการยกเลิกสัญญา” และจะเชิญเอกชนคู่สัญญาเข้าหารือในสัปดาห์หน้า เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา โดยเฉพาะประเด็นการคืนพื้นที่และเงื่อนไขในสัญญาที่อาจต้องปรับตามคำแนะนำของสำนักงานอัยการสูงสุด

 

หากโครงการนี้เดินหน้าตามแผน จะเป็นโครงข่ายคมนาคมหลักที่เชื่อมโยง กรุงเทพฯ–EEC–สนามบินอู่ตะเภา เข้าด้วยกัน เสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการลงทุนของประเทศไทยในระยะยาว