ไทยคม นำเทคโนโลยี AI ฝีมือคนไทย ต่อยอดการเกษตร แก้มลพิษ-เผาป่า
ไทยคม นำเทคโนโลยี - AI ฝีมือคนไทย ต่อยอดการเกษตร วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม ประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่า ชูจุดเด่นต้นทุนต่ำ-ตรวจสอบได้ ขับเคลื่อนสู่คาร์บอนเครดิต
ในงาน Sustainability Expo 2025 : A Call for Adaptation –The Sustainability in Trade & Industry จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ไทยคมจะเป็นบริษัทที่คนไทยคุ้นเคยในบทบาทผู้ให้บริการสื่อสารดาวเทียมมานานกว่า 30 ปี แต่ปัจจุบันไทยคมได้ขยายวิสัยทัศน์สู่การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศเพื่อสร้างประโยชน์เชิงยั่งยืนให้กับประเทศไทยและภูมิภาค มากกว่าการมุ่งสู่ดาวอังคารอย่างที่บริษัทระดับโลกบางรายกำลังทำ
ไทยคมได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ดาวเทียมพร้อมกับ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาโดยคนไทยเอง โดยข้อมูลและองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีนี้จะอยู่ภายในประเทศ เป้าหมายคือการนำเทคโนโลยีที่อยู่ไกลจากโลกนี้ มาทำให้โลกใกล้ชิดมากขึ้น และเป็นประโยชน์สูงสุดกับคนไทย เพื่อความก้าวหน้าและการทำงานร่วมกับภาคส่วนเกษตร
เราพบว่าพื้นที่เกษตรที่เป็นลักษณะกึ่งป่า เช่น สวนปาล์ม มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนสูงมาก สิ่งที่เราทำคือใช้ดาวเทียมกับ AI เพื่อประเมินศักยภาพเหล่านี้ ซึ่งให้ผลแม่นยำกว่าการใช้คนเดินสำรวจ เพราะสามารถประมวลผลได้ครอบคลุมในระดับประเทศ
โดยเทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในหลายส่วน เช่น
1.การเฝ้าระวังมลพิษและไฟป่า ดาวเทียมสามารถใช้ในการเฝ้าระวังพื้นที่ที่เป็น Hotspot ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อาจเกิดไฟป่าได้ และนำไปสู่ปัญหามลพิษ
2.การจัดการอ้อย ไทยคมได้ทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อใช้เทคโนโลยีดาวเทียมในการเก็บข้อมูลและควบคุมการเผา โครงการนี้ได้ดำเนินการแล้วครอบคลุม 1 ล้านไร่ จากพื้นที่ปลูกอ้อยทั้งหมดในประเทศไทยที่มีประมาณ 10 ล้านไร่ นอกจากนี้ยังมีการทำงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อขยายผล
3.ปาล์มและคาร์บอนเครดิต เทคโนโลยีนี้ได้ถูกต่อยอดไปยังพืชเกษตรอื่น ๆ เช่น ส่วนปาล์ม โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ในการทำให้พื้นที่เกษตรที่ปลูกอยู่สามารถได้รับ คาร์บอนเครดิต
นอกจากนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถ ประเมินพื้นที่ป่าได้ และได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามนายปฐมภพ กล่าวต่อว่า เทคโนโลยีอวกาศและ AI มีความยืดหยุ่นสูงเทคโนโลยีสามารถปรับขนาดได้ง่ายมาก ตั้งแต่เล็กมาก ๆ ไปจนถึงใหญ่มาก ๆ หากทำได้ 1 ล้านไร่แล้วการขยายไปสู่ 10 ล้านไร่ ก็สามารถทำได้ทันที
ต้นทุนต่ำ การลงทุนไม่ได้ใช้เม็ดเงินสูง ไม่ได้ใช้ Server หรือ Hardware มาก เพราะเป็นการใช้ "มันสมอง" ในการประมวลผลข้อมูลด้วยปัญญาของ AI ไทย ที่สำคัญคือ เทคโนโลยีนี้จะทำให้ต้นทุนถูกลง เมื่อเทียบกับการใช้คน ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SME) สามารถอยู่รอดได้
ความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส เทคโนโลยีนี้ดีกว่าการใช้คนในการตรวจวัด เนื่องจากคนไม่สามารถวัดต้นไม้ทุกต้นได้ และเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ระบบมีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ แม้กระทั่งหน่วยงานภายนอกอย่างสหภาพยุโรป (EU) ก็สามารถมาตรวจสอบระบบได้
การเรียนรู้ของ AI เมื่อไทยคมร่วมมือกับบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง GGC ข้อมูลที่รวมมาจะทำให้ตัว AI เก่งขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรายเล็กด้วย ที่จะได้รับประโยชน์จากข้อมูลของรายใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามความท้าทายที่ต้องเผชิญในการขยายผลระดับประเทศ แม้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดจากการทำงานร่วมกับ GGC จะดี แต่การขยายผลในระดับประเทศยังมีความท้าทาย เช่น การสร้างการยอมรับ ความท้าทายหลักคือการสร้างการยอมรับต่อการใช้เทคโนโลยี รวมถึงนโยบายและงบประมาณ เทคโนโลยีและกรรมวิธีใหม่นี้ยังไม่มีหมวดงบประมาณที่เคยตั้งไว้ในกระทรวงต่าง ๆ ในอดีต หน่วยงานรัฐจำเป็นต้องเปลี่ยนระเบียบต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนจากระบบและขบวนการเดิม ๆ ที่ใช้คน มาเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้แทน ซึ่งอาจทำให้หน่วยงานรัฐเกิดความลังเล
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าบริษัทอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทใหญ่เสมอไป หากมีความตั้งใจ ก็สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้ด้วยต้นทุนที่ไม่แพงและสเกลที่พร้อมทำ โดยมองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องสู้ด้วยเทคโนโลยีเพื่อก้าวไปอีกขั้น


