วิกฤตโลก ทางออกไทย: ขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยชุมชนและการเงิน
ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน เวที MFLF Sustainability Forum 2025 ชี้พลังชุมชนและนวัตกรรมการเงิน คือกุญแจสร้างสมดุลใหม่ สู่ความยั่งยืนที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ท่ามกลางความท้าทายรอบด้านที่โลกและประเทศไทยกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมือง การค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
ตลอดจนวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและภัยไฟป่ากว่า 42 ล้านไร่ทั่วโลก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เปิดเวที MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “วิกฤตโลก ทางออกไทย” (Global Challenges, Local Solutions at Scale) เพื่อระดมความคิดและนำเสนอทางออกที่ยั่งยืนสำหรับประเทศ
การปรับกระบวนทัศน์: เมื่อ “ทำแบบเดิม” ไม่เพียงพอ
ผู้เชี่ยวชาญในเวทีเสวนาต่างเน้นย้ำว่า การดำเนินธุรกิจแบบเดิม (Business As Usual - BAU) ไม่เพียงพอต่อการรับมือกับวิกฤตในปัจจุบัน ความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้ หากทุกภาคส่วนเกิดการ “รีบาลานซ์” ระหว่างผลกำไรกับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การทำงานจะต้องลงลึกกว่าเดิม โดยไม่มองเพียงแค่มิติสิ่งแวดล้อม แต่ต้องครอบคลุมถึงความผาสุกโดยรวม (well-being) ซึ่งธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ชี้ให้เห็นว่า แม้แม่ป่าไม้ในประเทศจะลดลงช้ากว่าหลายภูมิภาค แต่หากไม่มีมาตรการเชิงรุก ประเทศไทยอาจปรับตัวไม่ทันต่อแรงกดดันจากกฎระเบียบสากลที่เข้มข้นขึ้น เช่น มาตรการ CBAM และ EUDR ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะกระทบต่อสินค้าส่งออกและรายได้ของประเทศ
การแก้ปัญหาสู่ความยั่งยืน: รากฐานจากชุมชน
หลักการสำคัญในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนคือ การอนุรักษ์ต้องควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์และการแบ่งปันผลลัพธ์อย่างเป็นธรรม และการบริหารจัดการทรัพยากรควรเริ่มต้นจากการ กระจายอำนาจสู่ชุมชน โครงการของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ถูกยกให้เป็นกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในภาคการเกษตร ซึ่งถูกมองว่าเป็นหัวใจหลัก หากเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคการเกษตรจะสามารถสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้างได้ เนื่องจากห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในประเทศ
เวทีเสวนาย้ำว่า การดูแลป่าอย่างเป็นระบบ ช่วยให้คนกับธรรมชาติเกื้อกูลกันในทุกมิติ ชุมชนสามารถวางกฎระเบียบ ใช้งาน และดูแลป่าอย่างยั่งยืน ทั้งยังสามารถต่อยอดเป็นอาชีพเสริม เช่น การทำจานใบไม้ การทำไม้กวาด น้ำผึ้ง และการท่องเที่ยวชุมชน จนนำไปสู่การจัดตั้งกองทุนและเครือข่ายปลอดการเผา
คาร์บอนเครดิตและนวัตกรรมทางการเงิน: ตัวขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง
การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของประเทศจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพึ่งพาบทบาทสำคัญของภาคป่าไม้ คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงและเครื่องมือทางการเงินเพื่อความยั่งยืนจึงเป็น ตัวเชื่อมมนุษย์ คาร์บอน และสิ่งแวดล้อม
ความสำเร็จที่โดดเด่นคือ โครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนภายใต้แนวคิด “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์เกิดขึ้นจริงเมื่อทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกัน
• ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม: มีการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) ซึ่งถือเป็นปริมาณที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทยจากโครงการลักษณะนี้
• การมีส่วนร่วม: โครงการนี้ดำเนินการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ อาศัยความร่วมมือจาก 14 หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน และประสบความสำเร็จเกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ถึง 4 เท่า
• โอกาสใหม่: ความสำเร็จนี้เป็นสะพานไปสู่นวัตกรรมการเงินใหม่ ๆ เช่น biodiversity credit และ nature credit ซึ่งสามารถกระจายโอกาสการพัฒนาไปยังพื้นที่ชนบทได้
การลงทุนในความยั่งยืนจึงกลายเป็นทั้ง โอกาสทางธุรกิจและกุญแจสู่การอยู่รอดของทั้งคนและธรรมชาติ โดยต้องเร่งรักษาและขยายพื้นที่สีเขียวที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์ ภาคเอกชนมองว่าโครงการป่าชุมชนตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและการลงทุนด้านความยั่งยืน จึงได้เข้ามาสนับสนุนและให้คำปรึกษาด้านการเงิน เพื่อเสริมสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่สะท้อนประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่ออนาคต
การจะก้าวสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ได้อย่างมั่นคง ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน ผ่านการใช้กลไก Public Private Partnership (PPP) และการมองโอกาสจากการลงทุนสีเขียวเพื่อสร้าง S curve ใหม่
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิสกุล เน้นย้ำว่า ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ 10-15 ปี แต่ต้องเป็นการมองระยะยาวแบบข้ามรุ่น ทุกภาคส่วนต้องตระหนักถึง cost of action และ cost of inaction ว่าการลงมือทำหรือการเพิกเฉยจะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร
เวที MFLF Sustainability Forum 2025 จึงเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ "ความยั่งยืน" กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจริงในระดับบุคคล องค์กร และประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง


