"น้ำ" เพื่อเศรษฐกิจมั่นคง กรมชลฯ เดินหน้าบริหารจัดการน้ำหนุน EEC
กรมชลประทานเสริมความมั่นคงน้ำภาคตะวันออก หนุนเศรษฐกิจ-เกษตร-อุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC สร้างความมั่นใจประชาชนและนักลงทุน
KEY
POINTS
- กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC ผ่านระบบเครือข่ายอ่างเก็บน้ำที่เชื่อมโยงกัน ทำให้สามารถสูบผันน้ำระหว่างแหล่งน้ำต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงและกระจายน้ำให้เพียงพอต่อทุกภาคส่วน
- มีแผนพัฒนาระยะยาวถึงปี 2580 รวม 39 โครงการ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนกว่า 909 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นการสร้างหลักประกันด้านน้ำเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ EEC ในอนาคต
- การสร้างความมั่นคงด้านน้ำถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชน ว่าพื้นที่ EEC มีศักยภาพรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน
น้ำเพื่อเศรษฐกิจและความมั่นคง กรมชลประทานกับการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC
การบริหารจัดการน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไม่ใช่เพียงภารกิจเชิงเทคนิค หากแต่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเกษตร อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เศรษฐกิจชั้นนำของประเทศ พื้นที่ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ถือเป็น “หัวใจอุตสาหกรรมไทย” ที่มีทั้งนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ การท่องเที่ยว และการเกษตรขนาดใหญ่ จึงทำให้ “น้ำ” คือปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนทุกภาคส่วน
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 กรมชลประทานนำโดย นายทินกร เหลือล้น ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 9 พร้อมคณะผู้บริหาร ได้จัดสื่อมวลชนสัญจร เพื่อติดตามและรายงานความก้าวหน้าการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยลงพื้นที่อ่างเก็บน้ำประแสร์ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล (จ.ระยอง) และอ่างเก็บน้ำบางพระ (จ.ชลบุรี) เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน เกษตรกร และนักลงทุนว่าพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญนี้จะมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ
สถานการณ์น้ำและการจัดสรรในปัจจุบัน
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง 58 แห่งในภาคตะวันออก มีปริมาณน้ำรวม 1,344 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือราว 53% ของความจุอ่างรวมกัน การบริหารจัดการน้ำถูกออกแบบให้เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกัน สามารถสูบผันน้ำระหว่างอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อกระจายความมั่นคงด้านน้ำทั่วทั้งภูมิภาค
จนถึงขณะนี้มีผลการสูบน้ำโครงข่ายบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกดังนี้
1. สูบผันน้ำจากคลองพระองค์ฯและคลองชลประทานพานทอง มาเติมน้ำต้นทุนในอ่างฯบางพระ ปริมาณน้ำสะสมรวมประมาณ 35.4 ล้านลบ.ม.
2. สูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง มาเติมน้ำต้นทุนให้อ่างฯบางพระ ปริมาณน้ำสะสมรวม 3.1 ล้านลบ.ม.
3. สูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ปริมาณน้ำสะสมรวม 27.44 ล้านลบ.ม.
4. สูบผันน้ำกลับจากคลองสะพานไปยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ ปริมาณน้ำสะสมรวม 7.8 ล้านลบ.ม.
5. สูบผันน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปยังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ เพื่อไปเสริมน้ำต้นทุนให้กับอ่างฯหนองปลาไหล ปริมาณน้ำสะสมรวม 20.17 ล้านลบ.ม.
6. สูบผันน้ำกลับจากวัดละหารไร่ไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ปริมาณน้ำสะสมรวม 1.58 ล้านลบ.ม.
ซึ่งถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการผลิตน้ำประปา รักษาระบบนิเวศ การเกษตรและภาคอุตสหกรรม ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC (ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา) ได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี
วิสัยทัศน์การพัฒนาน้ำระยะยาว
เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัว กรมชลประทานได้เดินหน้าโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตั้งแต่ปี 2563–2580 รวม 39 โครงการ ประกอบด้วย
- การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่
- การปรับปรุงเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำเดิม
- การสร้างโครงข่ายสูบผันน้ำและระบบสูบน้ำกลับ
- การขุดลอกลำน้ำและการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำ
จนถึงปัจจุบันแล้วเสร็จแล้ว 17 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ 6 โครงการ และรอการขับเคลื่อนอีก 16 โครงการ หากทั้งหมดสำเร็จ จะสามารถเพิ่มน้ำต้นทุนได้ถึง 909 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจะเป็น “หลักประกันน้ำ” ให้ทั้ง EEC และพื้นที่ใกล้เคียง
มิติของความยั่งยืนและการแก้ปัญหาภัยแล้ง
นายทินกร เหลือล้น ชี้ว่า การบริหารจัดการน้ำไม่ได้หยุดอยู่ที่การสร้างแหล่งเก็บน้ำ แต่ต้องอาศัยการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์และนวัตกรรม กรมชลประทานจึงได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง โดยเน้น 3 แกนหลักคือ
1. การใช้ศักยภาพลุ่มน้ำอย่างสมดุล – กระจายความต้องการและศักยภาพน้ำแต่ละลุ่มน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2. การบูรณาการทุกภาคส่วน – เชื่อมความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และประชาชน พร้อมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน
3. การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม – นำระบบดิจิทัลและโซลูชันใหม่ ๆ เข้ามาช่วยติดตาม วิเคราะห์ และบริหารจัดการน้ำแบบเรียลไทม์
เป้าหมายไม่ใช่เพียงการ “แก้ปัญหาน้ำขาด” แต่เพื่อสร้าง ระบบน้ำที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ลดความเสี่ยงจากภัยแล้งและน้ำท่วม และคงไว้ซึ่งความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว
"น้ำ" หัวใจของ EEC และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
พื้นที่ EEC ไม่เพียงเป็นฐานอุตสาหกรรมและการลงทุนระดับโลก แต่ยังเป็นแหล่งเกษตรกรรมและท่องเที่ยวสำคัญของไทย ความมั่นคงด้านน้ำจึงเท่ากับการสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้แก่ทั้งประชาชนและนักลงทุนว่าพื้นที่นี้พร้อมรองรับการขยายตัวอย่างยั่งยืน
การบริหารจัดการน้ำเชิงรุกของกรมชลประทานจึงเปรียบเสมือน “ระบบประกันภัยเศรษฐกิจ” ที่ช่วยให้การผลิตอุตสาหกรรมไม่สะดุด การเกษตรไม่ขาดน้ำ การท่องเที่ยวไม่เสียสมดุล และที่สำคัญคือสร้างหลักประกันด้านคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทุกกลุ่ม
รู้จัก "อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล" แหล่งน้ำสำคัญของระยอง
เดิมทีจังหวัดระยองมีอ่างเก็บน้ำหลักเพียงแห่งเดียว คือ อ่างเก็บน้ำดอกกราย ซึ่งมีขนาดเล็กและไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เพียงพอต่อความต้องการในพื้นที่ ไม่ว่าจะเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร หรือการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้น จึงได้มีการสร้างอ่างเก็บน้ำแห่งใหม่ขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ห่างจากอ่างเก็บน้ำดอกกรายออกไปประมาณ 5 กิโลเมตร อ่างแห่งนี้คือ “อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล”
การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2533 และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2536 โดยอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลถูกสร้างขึ้นเพื่อดักเก็บน้ำจากลำห้วยคลองใหญ่ ซึ่งเป็นลำห้วยสาขาทางตอนเหนือของแม่น้ำระยอง
พื้นที่อ่างเก็บน้ำมีขนาด 22.89 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่รับน้ำฝนกว่า 408 ตารางกิโลเมตร น้ำทั้งหมดที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำนี้มาจากน้ำฝนในพื้นที่ลุ่มรับน้ำโดยตรง เนื่องจากบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำเป็นพื้นที่ราบ ไม่มีภูเขาและป่าไม้ จึงไม่มีแหล่งต้นน้ำธรรมชาติให้พึ่งพาได้ ทำให้อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลต้องฝากความหวังไว้กับปริมาณฝนที่ตกลงมาเพียงอย่างเดียว
อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลจึงเปรียบเสมือน “คลังน้ำ” ที่รองรับความต้องการของคนระยองและอุตสาหกรรมในพื้นที่ แม้จะต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก แต่ก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกจนถึงปัจจุบัน


