เจ้าภาพวอลเลย์บอลโลก มากกว่ากีฬา ไทยปั้นเศรษฐกิจทะลุ 8.4 พันล้าน
ไทยพิสูจน์พลังเศรษฐกิจจากกีฬา! จัด วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 ด้วยต้นทุน 1,124 ล้านบาท แต่สร้างรายได้ทะลุ 8,435 ล้านบาท พลิกคำสบประมาทเจ้าภาพขาดทุน
KEY
POINTS
- การเป็นเจ้าภาพวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยได้สูงถึง 8,435 ล้านบาท จากต้นทุนการจัดงาน 1,124 ล้านบาท
- มูลค่าทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มาจากการประชาสัมพันธ์ผ่านการถ่ายทอดสด (5.5 พันล้านบาท) รองลงมาคือเงินหมุนเวียนในพื้นที่จัดงาน (2 พันล้านบาท) และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว (768 ล้านบาท)
- ภาครัฐได้จัดแคมเปญ “Sport Tourism” เชื่อมโยงการแข่งขันกับการท่องเที่ยว โดยมอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ถือบัตรเข้าชมเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นใน 4 จังหวัดเจ้าภาพ
- นอกเหนือจากผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ การจัดงานยังเน้นความยั่งยืนตามแนวคิด "Green & Sustainable" และอาศัยพลังของกองเชียร์ชาวไทยเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
เป็นที่ทราบกันดีว่าการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกมักมาพร้อมความเสี่ยงด้านการลงทุน เนื่องจากต้นทุนที่สูงลิ่วแต่ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า ซึ่งเป็นสาเหตุให้หลายประเทศลังเลที่จะรับเป็นเจ้าภาพ ทว่าประเทศไทยได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส จากความสำเร็จในการจัดการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก FIVB Women’s World Championship 2025 ซึ่งจัดขึ้นใน 4 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, นครราชสีมา และภูเก็ต
วอลเลย์บอล: กีฬาที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล
แม้ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายจะแสดงความกังวลต่อกระแสวอลเลย์บอลหญิงไทยที่อาจซบเซาลงจากผลงานใน Volleyball Nations League (VNL) ที่ไม่เป็นไปตามคาด แต่ความสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ได้ลบล้างความกังวลเหล่านั้น เมื่อกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยว่า การแข่งขันนี้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงถึง 8,435 ล้านบาท จากต้นทุนการจัดงานเพียง 1,124 ล้านบาท แม้การแข่งขันจะยังไม่สิ้นสุดลง
มูลค่าทางเศรษฐกิจดังกล่าวมาจากหลายส่วน ได้แก่
- ด้านการประชาสัมพันธ์: สร้างมูลค่าสูงถึง 5,596.5 ล้านบาท จากยอดผู้ชมการถ่ายทอดสดและย้อนหลังทั่วโลกกว่า 1,300 ล้านคน
- ด้านการท่องเที่ยว: สามารถสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติกว่า 768.3 ล้านบาท
- ด้านเศรษฐกิจโดยรวม: กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในพื้นที่การจัดงานสร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 2,070.9 ล้านบาท
นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทำแคมเปญ “Sport Tourism” โดยมอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้ถือบัตรเข้าชม สามารถใช้เป็นส่วนลดหรือเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"หัวใจสีเขียว" สู่การจัดงานอย่างยั่งยืน
นอกเหนือจากผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานการจัดงานกีฬาให้เป็นแบบ "Green & Sustainable" หรือ "เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน" ตามนโยบายของ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่มุ่งเน้นแนวคิดนี้ให้เป็นหัวใจหลักของการจัดงาน
การแข่งขันจึงยึดตามหลักการ Green Heart Event Criteria ซึ่งครอบคลุมทุกมิติของการจัดงานอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การบริหารจัดการขยะ การใช้พลังงานและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการสร้างความตระหนักรู้แก่ผู้มีส่วนร่วม การนำแนวคิดนี้มาใช้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการส่งเสริมธุรกิจสีเขียวและยกระดับมาตรฐานการจัดงานของไทยให้ทัดเทียมนานาชาติอีกด้วย
เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์: พลังของกองเชียร์ชาวไทย
สิ่งที่ทำให้การเป็นเจ้าภาพของประเทศไทยแตกต่างและโดดเด่นจากที่อื่น คือพลังของ "กองเชียร์ชาวไทย" ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความกระตือรือร้นและพลังบวก นักกีฬาระดับโลกหลายคนต่างกล่าวว่าการแข่งขันในประเทศไทยให้ความรู้สึกเหมือนเป็นซูเปอร์สตาร์ เพราะไม่ว่าจะเป็นทีมใดก็ได้รับเสียงเชียร์อย่างกึกก้อง ยิ่งในแมตช์ที่ทีมไทยลงแข่งขัน บัตรเข้าชมถูกจองเต็มทุกที่นั่ง และแม้ในเกมที่ไม่มีทีมไทย กองเชียร์ก็ยังคงเข้าชมอย่างคับคั่ง แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลในกีฬาวอลเลย์บอลอย่างแท้จริง
พลังของกองเชียร์ไทยไม่เพียงสร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจ แต่ยังเป็น "เสน่ห์" ที่ดึงดูดนักกีฬา แฟนคลับจากทั่วโลก และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ให้มอบความไว้วางใจให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพอยู่เสมอ เพราะไม่ว่าทีมใดที่ได้แข่งขันในประเทศไทย ก็จะรู้สึกราวกับได้เล่นอยู่ในบ้านของตนเอง
ความสำเร็จทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และกีฬา ได้ยืนยันสถานะของประเทศไทยในฐานะ "เมืองหลวงแห่งวอลเลย์บอล" และลูกรัก FIVB (สหพันธ์วอลเลย์บอลนานานชาติ) แห่งศตวรรษนี้อย่างสมศักดิ์ศรี


