posttoday

“ไฮโดรเจน” กุญแจสู่โรงงานไร้คาร์บอนและโลกสะอาด กับ PTT

28 สิงหาคม 2568

สำรวจพลังงานไฮโดรเจน “ตัวเลือกทอง“ เพราะสามารถใช้แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้โดยตรง และถ้ามาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนก็แทบจะไม่ปล่อย CO₂ เลย!

KEY

POINTS

  • ไฮโดรเจนเป็นกุญแจสำคัญในการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมที่ทำได้ยาก (Hard-to-abate sectors) เช่น โรงงานเหล็กและปูนซีเมนต์ โดยใช้เป็นเชื้อเพลิงความร้อนสูงและวัตถุดิบในกระบวนการผลิตที่สะอาด
  • ในภาคขนส่ง ไฮโดรเจนในรูปแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ตอบโจทย์การเดินทางไกลและรถบรรทุกหนักได้ดีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และยังสามารถใช้กักเก็บพลังงานหมุนเวียนตามฤดูกาลได้นานกว่าแบตเตอรี่
  • กลุ่ม ปตท. เป็นแกนนำขับเคลื่อนเทคโนโลยีไฮโดรเจนในไทย ผ่านการจัดตั้งสมาคมไฮโดรเจน, สร้างสถานีนำร่อง, ลงทุนในโครงการไฮโดรเจนสีเขียว และผลักดันการพัฒนานโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • ประเทศไทยมีศักยภาพในการใช้ไฮโดรเจนเพื่อลดคาร์บอนใน 3 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม, ภาคการผลิตไฟฟ้า และภาคขนส่ง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและความมั่นคงทางพลังงาน

ลองจินตนาการถึงอนาคตที่โรงงานเหล็กไม่ปล่อยควันดำ รถบรรทุกขนาดใหญ่แล่นข้ามจังหวัดโดยไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) เลย และหมู่บ้านห่างไกลบนภูเขามีไฟฟ้าใช้ตลอดทั้งปีจากพลังงานสะอาดที่กักเก็บไว้ตั้งแต่ฤดูร้อน…เบื้องหลังภาพฝันเหล่านี้คือ “ไฮโดรเจน” พลังงานที่กำลังถูกจับตามองให้เป็นหัวใจของการลดคาร์บอนอย่างจริงจัง

 

ไฮโดรเจนกับภาคอุตสาหกรรม ปลดล็อก Hard-to-abate sectors

แม้หลายอุตสาหกรรมจะหันมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแล้ว แต่ยังมีภาคส่วนที่ “ยากต่อการลดคาร์บอนไดออกไซด์” หรือ Hard-to-abate sectors เช่น โรงงานปูนซีเมนต์ เหล็ก และเคมี ที่ต้องใช้ความร้อนสูงระดับพันองศาและมี CO₂เกิดจากปฏิกิริยาการผลิตโดยตรง การทดแทนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ

 


“ไฮโดรเจนจึงกลายเป็นตัวเลือกทอง เพราะสามารถใช้แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้โดยตรง และถ้ามาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนก็แทบจะไม่ปล่อย CO₂ เลย”


ตัวอย่างการใช้จริง

- ผลิตแอมโมเนีย (NH₃) – ส่วนผสมหลักของปุ๋ยและเชื้อเพลิงเรือขนส่งสากล ผ่านกระบวนการ Haber-Bosch ที่นำไฮโดรเจนมารวมกับไนโตรเจน หากเปลี่ยนเป็นไฮโดรเจนสีเขียวจะช่วยตัด CO₂ ออกจากสมการได้เกือบหมด

- ผลิตเมทานอล (CH₃OH) – วัตถุดิบสำคัญของเชื้อเพลิงและพลาสติก ผลิตจากไฮโดรเจนและ CO₂ ที่ดักจับมาเก็บ (CCUS) ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอน

 


ไฮโดรเจนกับการขนส่ง พลังงานไกลกว่าที่คิด

วงการยานยนต์กำลังเปลี่ยนโฉมไปอย่างรวดเร็ว BEV (Battery Electric Vehicle) คือดาวเด่นในเมือง แต่เมื่อพูดถึงการเดินทางไกลหรือการขนส่งหนัก ไฮโดรเจนในรูปแบบ FCEV (Fuel Cell Electric Vehicle) เริ่มฉายแสง เพราะการเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที วิ่งได้ไกลกว่า 650 กม. และไม่ต้องแบกแบตเตอรี่หนักๆ เหมือน BEV ทำให้ขนส่งสินค้าได้มากขึ้นและเร็วขึ้น


สรุปจุดเด่นของ FCEV สำหรับขนส่ง

- เติมเชื้อเพลิงเร็วเหมือนเติมน้ำมัน

- ระยะทางต่อการเติมสูง เหมาะกับเส้นทางไกล

- น้ำหนักระบบเบากว่า ทำให้ขนได้มากขึ้น

- ปล่อยมลพิษเพียงไอน้ำและความร้อนเล็กน้อย


ในอนาคต เมื่อเทคโนโลยีถูกลงและสถานีเติมไฮโดรเจนเพิ่มขึ้น FCEV อาจกลายเป็น “ม้ามืด” ที่วิ่งเคียงคู่ BEV ในระบบขนส่งโลก
 

“ไฮโดรเจน” กุญแจสู่โรงงานไร้คาร์บอนและโลกสะอาด กับ PTT

 

ไฮโดรเจนกับการกักเก็บพลังงาน แบตเตอรี่สำหรับฤดูกาล

ปัญหาของพลังงานหมุนเวียนคือ ไม่มีความเสถียร เพราะไม่ได้ผลิตเท่ากันตลอดเวลา แดดไม่ออกทุกวัน ลมไม่ได้พัดทุกคืน ดังนั้นเราจึงต้องมีระบบเก็บพลังงานไว้ใช้เมื่อจำเป็น


แบตเตอรี่ (BESS) เก่งในงานสั้นๆ  เก็บไฟได้ไม่กี่ชั่วโมง ตอบสนองเร็ว แต่ไม่คุ้มถ้าจะเก็บเป็นเดือน ส่วนไฮโดรเจน (HESS) กลับต่างออกไป เพราะผลิตไฮโดรเจนจากไฟฟ้าด้วย Electrolysis เก็บในถังได้เป็นเดือนโดยไม่สูญเสียพลังงาน แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นไฟฟ้าด้วย Fuel Cell เวลาที่ต้องใช้ เหมาะกับระบบขนาดใหญ่ เช่น ศูนย์ข้อมูล โรงพยาบาล หรือหมู่บ้านห่างไกลที่ใช้พลังงานหมุนเวียนตามฤดูกาล

 

*Electrolysis คือการใช้ไฟฟ้าแยกน้ำให้ได้ไฮโดรเจน (เชื้อเพลิงสะอาด) และออกซิเจน โดยเฉพาะเมื่อไฟฟ้ามาจากพลังงานสะอาด จะได้ไฮโดรเจนที่ไม่ปล่อยคาร์บอนเลย

 

“โซลูชันที่ยั่งยืนที่สุด คือใช้ทั้งสองร่วมกัน – แบตเตอรี่สำหรับความต้องการทันที และไฮโดรเจนสำหรับการสำรองระยะยาว”

 

ความปลอดภัย ไฮโดรเจนไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด

ไฮโดรเจนเบากว่าอากาศถึง 14 เท่า ถ้ารั่วก็จะลอยขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ไม่สะสมในพื้นที่ต่ำเหมือนก๊าซอื่น จึงลดโอกาสเกิดการระเบิดในพื้นที่ปิด
รถยนต์ไฮโดรเจนมีมาตรการความปลอดภัยสูงมากเพราะ

- ถังเก็บไฮโดรเจนทนแรงดันได้เกิน 800 บาร์

- ระบบตรวจจับการรั่วไหลแบบเรียลไทม์

- มาตรฐานการเติมและบำรุงรักษาเข้มงวด


โลกมีสถานีเติมไฮโดรเจนแล้วกว่า 900 แห่ง และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไทยเองก็มีประสบการณ์จัดการไฮโดรเจนในโรงแยกก๊าซและโรงงานเคมีมานาน ทำให้เราไม่ได้เริ่มจากศูนย์

 

ไฮโดรเจนในเวทีโลก แรงบันดาลใจจากต่างประเทศ

กว่า 30 ประเทศทั่วโลกกำลังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจน ทั้งเพื่อลดคาร์บอนและสร้างเศรษฐกิจพลังงานใหม่ เช่น

• เยอรมนี – เปิดใช้รถไฟพลังงานไฮโดรเจนขบวนแรกของโลก วิ่งได้ 1,000 กม. ต่อถัง ความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม. แทนรถไฟดีเซล

• ฝรั่งเศส – ผลิตจักรยานไฮโดรเจนโดย Pragma Industries และใช้เรือพลังงานไฮโดรเจนขนส่งสินค้าเชิงพาณิชย์

• ญี่ปุ่น – Honda ทดลองศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน และ ISUZU ทดสอบรถบรรทุก ISUZU GIGA FUEL CELL เตรียมวางจำหน่ายในปี 2027

 

โอกาสของประเทศไทย – 3 ภาคส่วนหลัก

สำหรับไทย ไฮโดรเจนมีศักยภาพสูงที่จะใช้ลดคาร์บอนใน 3 ภาคส่วนสำคัญ

1. ภาคอุตสาหกรรม – ปรับปรุงคุณภาพโลหะ ปิโตรเคมี เป็นสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ และเชื้อเพลิงสะอาดในกระบวนการความร้อนสูง เช่น ซีเมนต์

2. ภาคผลิตไฟฟ้า – ใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรง หรือผสมกับก๊าซธรรมชาติในกังหันก๊าซไฮโดรเจน รวมถึงผลิตไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิง (ตัวอย่าง: ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง ทดลองใช้งานจริง)

3. ภาคขนส่ง – ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันปิโตรเลียมสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรงใน FCEV รวมถึงรถโดยสารและรถบรรทุกหนักระยะไกล

 

ไฮโดรเจนไม่ใช่แค่ “เชื้อเพลิงทางเลือก” แต่คือ ตัวเร่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ช่วยให้โรงงานที่เคยปล่อยควันดำสะอาดขึ้น รถบรรทุกวิ่งไกลได้โดยไม่ปล่อย CO₂ และพลังงานหมุนเวียนถูกใช้ได้เต็มประสิทธิภาพตลอดปี

 

สิ่งที่เหลือคือการทำให้ราคาถูกลง และสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม วันนั้นโลกอาจได้เห็นพลังงานสะอาดที่ลอยขึ้นสู่ฟ้า… และพาเราก้าวสู่อนาคตสีเขียวอย่างแท้จริง



“ไฮโดรเจน” กุญแจสู่โรงงานไร้คาร์บอนและโลกสะอาด กับ PTT


กลุ่ม ปตท. กับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีไฮโดรเจน

กลุ่ม ปตท. เล็งเห็นความสำคัญของการประยุกต์ใช้งานไฮโดรเจนในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมถึงโอกาสในการสร้างธุรกิจไฮโดรเจน โดยที่ผ่านมากลุ่ม ปตท. ได้มีการติดตามความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีไฮโดรเจนอย่างต่อเนื่อง 

2562

- กลุ่ม ปตท. จัดตั้ง Hydrogen Thailand Club ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชนเพื่อเตรียมความพร้อมและผลักดันเทคโนโลยีไฮโดรเจนให้กับประเทศไทย  ปัจจุบันมีสมาชิก 54 บริษัท 

2565

- PTT - OR - TOYOTA - BIG ติดตั้งสถานีนำร่อง Hydrogen Station สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงแห่งแรกของไทย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อศึกษาการใช้ไฮโดรเจนในภาคขนส่งของประเทศ

2566

- ปตท.สผ. ชนะการประมูลการพัฒนาโครงการไฮโดรเจนสีเขียว ประเทศโอมาน 

- PTT – RINA พัฒนาทดสอบการเผาไหม้ของการผสม Hydrogen ในก๊าซธรรมชาติ และพัฒนาห้องปฏิบัติการของสถาบันนวัตกรรม ปตท.

2567 

- ปตท. ร่วมกับโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย และบีไอจี ยกระดับ  Hydrogen Thailand Club จัดตั้งเป็นสมาคมไฮโดรเจนแห่งประเทศไทย (Hydrogen Thailand Association) โดยอยู่ในระหว่างการถ่ายโอนสมาชิกเข้าสู่สมาคม

2568 

- กลุ่ม ปตท. ลงนามบันทึกข้อตกลงการพัฒนาธุรกิจและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำของกลุ่ม ปตท. เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net-Zero

 

แนวทางการดำเนินงานในอนาคต (Way Forward)

- ให้การสนับสนุนข้อมูลแก่ภาครัฐ เพื่อพิจารณากำหนดให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นส่วนหนึ่งของ พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง

- ศึกษาและประเมินผลกระทบ ของการผสมไฮโดรเจนในระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงเทคนิคให้ภาครัฐใช้ประกอบการตัดสินใจวางแผนดำเนินนโยบายด้านพลังงาน

- ให้ข้อมูลเชิงเทคนิคและข้อเสนอแนะ สำหรับการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบด้านความปลอดภัยในการผลิตและใช้งานไฮโดรเจน

- ศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้ไฮโดรเจน ภายใน กลุ่ม ปตท. เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน อย่างยั่งยืน

 


ที่มา 

- สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน

- สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

- ฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีและธุรกิจไฮโดรเจนและสถาบันนวัตกรรม ปตท.

 

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68