ส่องอนาคตของเมืองอนาคต EECiti ในสายตา “ดร.จุฬา สุขมานพ”
EEC กำลังก้าวสู่ “มหานครอนาคต” ดร.จุฬา สุขมานพ ชี้ อีก 10 ปี พัฒนาเมืองอัจฉริยะครบวงจร ลงทุนอุตฯ EV นำโด่ง มุ่งเป้า Talet Hub ภูมิภาครวมมหา'ลัยนานาชาติ ศูนย์กีฬา-บันเทิง
KEY
POINTS
- EECiti ถูกวางอนาคตให้เป็น "มหานครแห่งอนาคต" หรือเมืองใหม่แบบครบวงจร (Integrated City) ที่ผสมผสานเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การศึกษา และคุณภาพชีวิตเข้าด้วยกัน ไม่ใช่แค่เขตอุตสาหกรรม แต่เป็นเมืองที่มีทั้งที่อยู่อาศัย โรงเรียน และพื้นที่สีเขียว
- มุ่งเน้นการเป็นฐานอุตสาหกรรมอนาคต โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานสะอาด โดยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีนที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด เพื่อผลักดันให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
- เร่งพัฒนาโครงการขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดบุคลากรและสร้างเมืองให้มีชีวิตชีวา ผ่านการสร้างศูนย์กีฬานานาชาติ (Sport Complex) และการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนานาชาติ เพื่อสร้าง "Talent Hub" ผลิตบุคลากรคุณภาพสูงป้อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ในอีก 10 ปีข้างหน้า “เมืองในอนาคต” ของประเทศไทยจะมีหน้าตาอย่างไร แล้วยิ่งถ้าหากเมืองนั้นเป็นเมืองที่สร้างขึ้นใหม่ ไม่ขึ้นกับรูปแบบเดิมๆ หรือผังเมืองเดิมๆ แต่สร้างจากแนวคิดและวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับแนวโน้มเมืองอนาคต เมืองยั่งยืน และเมืองอัจฉริยะตามทิศทางและแนวโน้มของโลกที่ยึดเรื่องสภาวะแวดล้อมเป็นหลักตั้งแต่เสาเข็มต้นแรก
เมื่อพูดถึงโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC หลายคนอาจนึกถึงเพียงฐานการผลิตอุตสาหกรรม แต่ในวิสัยทัศน์ของ ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี พื้นที่นี้กำลังถูกออกแบบให้เป็น “มหานครแห่งอนาคต” ที่ผสมผสานทั้งเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การศึกษา และคุณภาพชีวิตไว้ในที่เดียวกัน
วันนี้โพสต์ทูเดย์ชวนมาสำรวจแนวคิดและตอกย้ำภาพเมืองใหม่ของ EEC กันอีกครั้ง ในขณะที่โครงการรถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินโครงสร้างพื้นฐานเรือธงที่จะเชื่อมทุกสิ่งในอนาคตกำลังคืบคลานไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า...
หัวใจสำคัญของวันนี้เริ่มต้นที่แนวคิด “Integrated City” หรือเมืองใหม่แบบครบวงจร ซึ่งกำลังถูกพัฒนาในหลายจุดของพื้นที่ EEC เมืองเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่ประกอบด้วยโรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์การค้า สนามกีฬาหรือสปอร์ตคอมเพล็กซ์ และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตและการทำงานให้ไปด้วยกัน
ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่า นักลงทุนจีนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรมและในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ในอีกด้านหนึ่ง EEC กำลังเร่งปั้นตัวเองให้เป็นฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานสะอาดของภูมิภาค โดยล่าสุด ดร. จุฬาระบุว่า มีมูลค่าการลงทุนจากจีนมากที่สุด แต่ปริมาณนักลงทุนหรือโครงการยังเป็นของค่ายรถญี่ปุ่น ฐานของ EV ใน EECiti มีทั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในพื้นที่ ยิ่งกว่านั้นในนิคมฯ ยังมีความตั้งใจจะใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ หรือพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลักเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ในอนาคต
เพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวาและศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ดร.จุฬาเผยว่า EEC กำลังพัฒนาโครงการด้านกีฬาและความบันเทิงขนาดใหญ่ โดยมีทั้งศูนย์กีฬา หรือ สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และสนามแข่งมาตรฐานนานาชาติที่เชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร ซึ่งรวมทั้งพื้นที่สำหรับเกมดิจิทัลอย่าง e-Sports เป้าหมายจึงไม่ใช่แค่จัดการแข่งขันกีฬา แต่ยังรวมถึงคอนเสิร์ต งานแสดงสินค้า และอีเวนต์ระดับโลก ที่จะสร้างสีสันและเศรษฐกิจหมุนเวียนให้กับพื้นที่
สิ่งที่หลายคนอยากรู้โครงการสำคัญในพื้นที่ เม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่ไปลงในเซ็คเตอร์ใดบ้าง
ดร.จุฬาระบุว่า ในอุตสาหกรรม EV มีเม็ดเงินลงทุนมากที่สุด โดยเริ่มมีการก่อสร้างในพื้นที่แล้ว รองลงมาคือภาคไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์ โดย EV มีทุนจากจีนเป็นหลักโดยเฉพาะในช่วง 2 ปีหลังมีมูลค่าการลงทุนสูงสุด แต่หากเป็นปริมาณหรือจำนวนโปรเจ็กต์การลงทุนยังเป็นของญี่ปุ่น ก็คือจำนวนนักลงทุนมากที่สุดยังเป็นของญี่ปุ่น ส่วนมูลค่าการลงทุนสูงที่สุดมาจากจีน ในเซ็คเตอร์ที่เรียกว่า ยานยนต์สมัยใหม่ ที่รวมการผลิตแบตเตอรี่ อะไหล่ และที่เกี่ยวข้องกับ EV ไว้ด้วยกัน
ชู “ศูนย์กีฬานานาชาติ (Sport Complex)”
หลังจากที่ ครม. เห็นชอบ การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ EECiti ระยะที่ 1 พื้นที่ประมาณ 5,795 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 14,619 ไร่ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568
สกพอ. อยู่ระหว่างการศึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคส่วนกลาง และคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPP) ในโครงการ EECiti เช่น ระบบไฟฟ้าและพลังงาน ระบบบริหารจัดการน้ำ ระบบบริหารจัดการของเสีย ระบบคมนาคมและขนส่ง ระบบดิจิทัล ระบบอุโมงค์สาธาณูปโภคใต้ดิน (Common Utility Duct) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลภายในกลางปี 2569 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักลงทุนเข้าพัฒนาพื้นที่คลัสเตอร์ธุรกิจ 6 ด้านต่อไป
และยังมีการประชาสัมพันธ์โครงการฯ Roadshow และชักจูงนักลงทุนด้านต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยทั้งยังได้ลงนาม MOU กับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาพื้นที่คลัสเตอร์ BCG และศูนย์กีฬานานาชาติ (โครงการสปอร์ตคอมเพล็กซ์) ตามลำดับ ที่ทั้ง 2 หน่วยงานคาดการณ์ว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในปี 2572 – 2573
ทั้งนี้ สำนักงาน EEC (สกพอ.) ได้ลงนาม MOU กับ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาเพื่อขับเคลื่อนโครงการ ศูนย์กีฬานานาชาติ (Sport Complex) ที่อยู่ในพื้นที่เมืองใหม่อัจฉริยะ EECiti บางละมุง จังหวัดชลบุรี ครอบคลุมพื้นที่ราว 1,500 ไร่ (อาจขยายถึง 2,000 ไร่)
การรอคอยอันยาวนานกับโครงการเรือธง ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน
ดร. จุฬาเผยความคืบหน้าล่าสุดว่า เมื่อเอกสาร (ราว 10 หน้ากระดาษ) ผ่านการพิจารณาโดยอัยการแล้ว จากนั้นจะส่งต่อไปที่การรถไฟฯ เพื่อพิจารณาความเห็นของอัยการ และต่อไปเอกชนก็จะร่วมกันพิจารณาความเห็นของอัยการกันอีกรอบสำหรับสัญญาที่แก้ไขมา จากนั้นหากความเห็นไปกันได้ ก็จะไปต่อที่คณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาร่วมลงทุนต่อไป หากผ่านแล้วก็จะส่งมาที่คณะกรรมการ EEC (กพอ.) หากผ่าน กพอ.แล้ว ก็จะไปต่อที่ ครม. เมื่อเห็นชอบแล้วจึงจะเซ็นสัญญาร่วมกันได้ โดยทั้งหมดคาดว่าเดือนหน้า (กันยายน) สัญญา(ใหม่) น่าจะเข้า กพอ.ได้ หรืออาจจะเป็นปลายเดือนสิงหาคม
หากไม่ติดขัดอันใด ภายในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน (2568) ก็จะเริ่มก่อสร้างได้
“มหาวิทยาลัยนานาชาติ” ภายในพื้นที่ EEC
อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจ คือการพัฒนา “มหาวิทยาลัยนานาชาติ” ภายในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับคุณภาพบุคลากรและสร้าง Talent Hub ของภูมิภาค ดร.จุฬาอธิบายว่า EEC ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงฐานการผลิต แต่ต้องการเป็นแหล่งผลิตบุคลากรคุณภาพสูงที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมอนาคต จึงได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำจากยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และจีน เพื่อเปิดวิทยาเขตและหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น วิศวกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ระบบแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด และการจัดการโลจิสติกส์ขั้นสูง โดยบางหลักสูตรจะสอนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนเพื่อเตรียมคนทำงานให้พร้อมสำหรับตลาดโลก
เหตุผลที่มหาวิทยาลัยเหล่านี้ตั้งอยู่ใน EEC แทนที่จะเป็นกรุงเทพฯ ก็เพราะที่นี่มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศของอุตสาหกรรมครบวงจร นักศึกษาสามารถเรียนควบคู่ไปกับการฝึกงานในโรงงาน EV ศูนย์วิจัย หรือบริษัทเทคโนโลยีที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร นี่คือโมเดลที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในสิงคโปร์และจีน และถูกนำมาปรับใช้ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ
ดร.จุฬามองว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า EEC จะเป็นศูนย์กลางดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงจากทั่วโลก ทั้งนักศึกษาไทยและต่างชาติจะเลือกมาที่นี่เพราะมีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ทำงานกับบริษัทชั้นนำ และใช้ชีวิตในเมืองที่มีคุณภาพระดับนานาชาติ นี่ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างพื้นที่เศรษฐกิจ แต่คือการสร้าง “เมืองอนาคต” ที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลกอย่างแท้จริง
“การพัฒนามหาวิทยาลัยนานาชาติใน EEC เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเราไม่ได้ต้องการเป็นเพียงฐานการผลิตหรือพื้นที่ลงทุน แต่ต้องการเป็นศูนย์กลางผลิตบุคลากรคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอนาคต เราทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำจากหลายประเทศ ทั้งจากยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และจีน เพื่อเปิดวิทยาเขตหรือโปรแกรมการเรียนการสอนใน EEC”
สรุปความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
ล่าสุดอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาเสร็จสิ้น หลัง รฟท.ส่งร่างแก้ไขสัญญาโครงการฯ (วงเงิน 224,544 ล้านบาท) ให้ตรวจเมื่อเมษายน 2568
เมื่อ 15 ส.ค. 2568 อัยการส่งคืนพร้อมข้อสังเกต 10–18 ประเด็น โดยย้ำว่ารัฐต้องไม่เสียเปรียบ และบางข้ออาจกระทบหลักการเดิมที่ ครม.เคยเห็นชอบ
นัดหารือ รฟท.–ซี.พี.
วันที่ 18 ส.ค. 2568 รฟท.นัดประชุมร่วมกับ บจ.เอเชีย เอรา วัน (เครือซี.พี.) เพื่อชี้แจงและพิจารณาปรับแก้ตามข้อสังเกตของอัยการ
ข้อเสนอแนะสำคัญจากอัยการ
- ค่าสิทธิ ARL (Airport Rail Link): ให้ซี.พี.ชำระ 7 งวดรายปี เริ่มจ่ายทันทีเมื่อเซ็นสัญญาแก้ไข หากชำระไม่ครบไม่ควรได้รับสิทธิ์บริหาร
- Public Investment Cost (PIC): เปลี่ยนจาก “จ่ายหลังสร้างเสร็จ” เป็น “จ่ายตามความก้าวหน้าก่อสร้าง” วงเงินราว 125,933 ล้านบาท ซึ่งช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้ราว 24,000 ล้านบาท
ความเห็นจาก EEC และแนวทางต่อไป
EEC เห็นว่าร่างสัญญาที่ผ่านการตรวจแล้วสามารถเดินหน้าโครงการได้
เน้นให้ซี.พี.เร่งเจรจาเรื่องการชำระค่าสิทธิ ARL และการวางแบงก์การันตี เพื่อให้รัฐได้ประโยชน์สูงสุด
หากมีประเด็นขัดหลักการเดิม ต้องเสนอ ครม. พิจารณาแก้ไขพร้อมร่างสัญญา
ความคืบหน้าช่วง 21–22 ส.ค. 2568
บอร์ด รฟท.รับทราบร่างสัญญาพร้อมข้อคิดเห็น 18 ประเด็น
ซี.พี.ต้องจัดทำหนังสือชี้แจงกลับมาในสัปดาห์นั้น
ยืนยันว่าโดยหลักการโครงการยังไม่สะดุด
การลงทุนในโครงการ EECiti ปัจจุบัน
อ้างอิงตามตามแผนปฏิบัติการด้านโครงการ EECiti (พ.ศ. 2565) เงินลงทุนทั้งโครงการฯ รวมประมาณ 1.34 ล้านล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนได้ดังนี้
(1) การลงทุนโดยภาครัฐ ได้แก่ สกพอ. ประมาณ 28,541 ล้านบาท และหน่วยงานรัฐอื่นที่เกี่ยวข้องประมาณ 9,133 ล้านบาท รวมเงินลงทุนโดยภาครัฐ ประมาณ 37,674 ล้านบาท ร้อยละ 2.8 ของมูลค่าการลงทุนรวมทั้งโครงการฯ ประกอบด้วย ค่าชดเชยที่ดิน ค่าเตรียมการพัฒนาโครงการฯ ค่าปรับพื้นที่ และค่าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนเชื่อมโครงข่ายภายนอกโครงการฯ ถนนภายในโครงการฯ ทางเท้า ทางจักรยานภายในเมือง สะพาน พื้นที่สาธารณะและนันทนาการส่วนกลาง การปรับทัศนียภาพภายในเมือง ระบบท่อส่งน้ำดิบ การพัฒนาแหล่งน้ำและทางน้ำ เป็นต้น
(2) การร่วมลงทุนระหว่างรัฐหรือรัฐวิสาหกิจและเอกชน หรือเอกชนลงทุน (PPP) ประมาณ 131,119 ล้านบาท ร้อยละ 9.7 ของมูลค่าการลงทุนรวมทั้งโครงการฯ ได้แก่ ระบบไฟฟ้าและพลังงาน ระบบบริหารจัดการน้ำ ระบบบริหารจัดการของเสีย ระบบคมนาคมและขนส่ง ระบบดิจิทัล ระบบอุโมงค์สาธาณูปโภคใต้ดิน (Common Utility Duct) เป็นต้น
(3) การลงทุนโดยภาคเอกชน ประมาณ 1,180,808 ล้านบาท ร้อยละ 87.5 ของมูลค่าการลงทุนรวมทั้งโครงการฯ ได้แก่ ค่าลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่เชิงพาณิชย์


