ด้านมืดของเทคโนโลยีสีเขียว ความหวังโลก หรือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่?
เมื่อ "เทคโนโลยีสีเขียวอาจไม่เขียวเสมอไป!" เบื้องหลังนวัตกรรมรักษ์โลก อาจแฝงทั้งคาร์บอน ขยะพิษ ไปจนถึงภัยต่อวิถีชีวิตคนและธรรมชาติที่กำลังพังท่ามกลาง การใช้รถ EV ที่กำลังแพร่หลายไปทั่วโลก
KEY
POINTS
- ทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า ความต้องการลิเทียมของโลกเพิ่มจาก 95,000 ตันในปี 2021 เป็น 205,000 ตันในปี 2024 และอาจพุ่งถึง 900,000 ตันในปี 2040 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจหากพิจารณาว่ากระบวนการผลิตยังคงใช้วิธีสูบน้ำใต้ดินแบบเดิมอยู่
- รัฐบาลชิลีประกาศแผนยุทธศาสตร์ลิเทียมแห่งชาติในปี 2023 เพื่อเพิ่มอัตราการผลิต โดยมองว่าจะทำให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางของ “ยุคพลังงานใหม่” และสร้างรายได้มหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
- วิธีการสกัดลิเทียมส่วนใหญ่ใช้วิธีการสูบน้ำเค็มใต้ดินที่อุดมด้วยแร่ธาตุขึ้นมา แล้วนำไปตากให้ระเหยแห้งในบ่อ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สิ้นเปลืองน้ำอย่างมหาศาล
- คำถามคือ หาก "พลังงานสะอาด" ต้องแลกมากับการทำลายแหล่งน้ำ, ถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า, และวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง มันยังเป็น “สีเขียว” อยู่จริงหรือ?
อะไรคือ ความขัดแย้งของแนวคิด "พลังงานสะอาด" และความยั่งยืน
Atacama Salt Flats หรือ "แอ่งเกลืออะตากามา" คือบริเวณที่ราบเกลือ หรือ ทะเลเกลือขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศชิลี ภายในเขตทะเลทรายอะตากามา ซึ่งเป็นหนึ่งในทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลก ลักษณะเด่นอันสำคัญของแอ่งเกลืออะตากามา ก็คือที่นี่เป็นแหล่งแร่ลิเทียมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะมีน้ำเกลือใต้ดินที่อุดมด้วยลิเทียม ซึ่งเป็นแร่สำคัญในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
หากใครเคยได้ยินชื่อเสียงที่ผู้คนกล่าวขานถึง "ทะเลทรายอะตากามา" คงรู้ว่า ทะเลทรายแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีฝนตกน้อยที่สุดบนโลก บางส่วนของทะเลทรายนี้ไม่เคยมีการบันทึกว่ามีฝนตกเลย แต่ในที่กันดารขนาดนี้ก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งอื่นที่ไม่ใช่น้ำ นั่นคือแร่ธาตุที่ฟ้าประทานมาให้ชาวโลก
อย่างไรก็ตาม เรากำลังพูดถึงพื้นที่หนึ่งของแอ่งเกลืออะตากามา ในบริเวณที่เรียกว่า ที่ราบตีโลโปโซ (Vega de Tilopozo) ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำและอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชหญ้าและน้ำพุใต้ดิน แต่ปัจจุบันกำลังเหือดแห้งลงอย่างน่าใจหาย
ราเกล เซลีนา โรดริเกซ ชาวพื้นเมืองที่เลี้ยงสัตว์อยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาทั้งชีวิต เล่าว่าที่ดินซึ่งเคยมีหญ้าเขียวขจีและสัตว์เล็มหญ้าอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ กลับแห้งแตกระแหง และกลายเป็นหลุมลึกว่างเปล่า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประกอบกับการทำเหมืองแร่ลิเทียมที่ต้องใช้ทรัพยากรน้ำมหาศาล!
"ลิเทียม" วัตถุดิบสำคัญในเทคโนโลยีสีเขียวที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ลิเทียม (Lithium) คือแร่ธาตุหลักในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โลกมุ่งเป้าลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล
อย่างไรก็ตาม การสกัดลิเทียมในพื้นที่ทะเลเกลืออะตากามา ซึ่งเป็นแหล่งลิเทียมใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลับต้องแลกมาด้วยการสูบน้ำเค็มใต้ดินขึ้นมาตากให้ระเหย จนได้ลิเทียมบริสุทธิ์ในรูปแบบของสารละลายเคมี กระบวนการนี้คล้ายกับการทำนาเกลือ แต่แตกต่างตรงที่ต้องใช้น้ำปริมาณมากจนส่งผลให้แหล่งน้ำใต้ดินลดระดับลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ข้อมูลจาก ทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า ความต้องการลิเทียมของโลกเพิ่มจาก 95,000 ตันในปี 2021 เป็น 205,000 ตันในปี 2024 และอาจพุ่งถึง 900,000 ตันในปี 2040 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจหากพิจารณาว่ากระบวนการผลิตยังคงใช้วิธีสูบน้ำใต้ดินแบบเดิมอยู่
ทะเลเกลืออะตากามา หัวใจของลิเทียมและความแห้งแล้งที่คืบคลาน
ชิลีเป็นผู้ผลิตลิเทียมรายใหญ่อันดับสองของโลก รองจากออสเตรเลีย โดยทะเลเกลืออะตากามาเป็นแหล่งแร่ลิเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก รัฐบาลชิลีได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ลิเทียมแห่งชาติในปี 2023 เพื่อเพิ่มอัตราการผลิต รัฐบาลชิลีมองว่าการเพิ่มกำลังการผลิตลิเทียมจะทำให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางของ “ยุคพลังงานใหม่” และสร้างรายได้มหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายที่อาจเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 70% ภายในปี 2030 (แม้กระทรวงเหมืองแร่ชิลีจะระบุว่ายังไม่มีการตั้งเป้าหมายที่แน่นอนก็ตาม) และในปีนี้ โครงการร่วมทุนระหว่าง SQM และ Codelco ได้รับสัมปทานในการขุดเจาะลิเทียมจำนวนมหาศาลไปจนถึงปี 2060
แต่คำถามคือ หาก "พลังงานสะอาด" ต้องแลกมากับการทำลายแหล่งน้ำ, ถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า, และวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง มันยังเป็น “สีเขียว” อยู่จริงหรือ?
อย่างที่บอก วิธีการสกัดลิเทียมส่วนใหญ่ใช้วิธีการสูบน้ำเค็มใต้ดินที่อุดมด้วยแร่ธาตุขึ้นมา แล้วนำไปตากให้ระเหยแห้งในบ่อ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สิ้นเปลืองน้ำอย่างมหาศาล
ฟาวิโอลา กอนซาเลซ นักชีววิทยาชนเผ่าพื้นเมืองในทะเลทรายอะตากามา ซึ่งทำงานดูแลเขตสงวนแห่งชาติลอสฟลาเมงกอสมาหลายปี ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจ "ตอนนี้ทะเลสาบน้ำเค็มชายฝั่งเริ่มหดตัวเล็กลงแล้ว เรายังพบว่าอัตราการเจริญพันธุ์ของนกฟลามิงโกก็ลดต่ำลงด้วย" เธอกล่าว การทำเหมืองลิเทียมส่งผลกระทบต่อจุลชีพที่เป็นอาหารของนก ซึ่งปะปนอยู่ในแหล่งน้ำของท้องถิ่น จึงส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารทั้งหมดในระบบนิเวศ
ยิ่งกว่านั้น การสูบน้ำของบริษัทเหมืองลิเทียมทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น ส่งผลให้ต้นอัลการ์โรโบ ซึ่งเป็นพืชประจำท้องถิ่นในเขตสัมปทานเหมืองลิเทียมของบริษัท SQM ต้องตายลงถึง 1 ใน 3 ตั้งแต่เริ่มมีการทำเหมืองในปี 2013 เนื่องจากการขาดน้ำ
นอกจากนี้ น้ำใต้ดินของภูมิภาคนี้ถือว่าเป็น "น้ำโบราณ" ที่ใช้เวลาหลายพันปีในการสะสมตัวจากเทือกเขาแอนดีส การสูบขึ้นมาอย่างไม่ยั้งคิดเท่ากับทำลายระบบนิเวศที่ต้องใช้เวลานับพันปีจึงจะฟื้นฟูกลับมาได้
จะเดินหน้าต่ออย่างไรโดยไม่ละทิ้งสิ่งแวดล้อมและชุมชน?
ศาสตราจารย์คาเรน สมิธ สตีเกน จากเยอรมนี เสนอว่าแนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้นคือ การให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการวางแผนและตัดสินใจ เช่น การจัดทำ “การประเมินผลกระทบทางสังคม” ก่อนดำเนินการเหมือง เพื่อศึกษาว่าทรัพยากรน้ำในพื้นที่สามารถรองรับการใช้งานเชิงอุตสาหกรรมได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะมีผลกระทบต่อพืช สัตว์ และคนในพื้นที่อย่างไร
มีบางบริษัทเริ่มเปลี่ยนแนวทาง เช่น ใช้เทคโนโลยีสกัดลิเทียมแบบ Direct Lithium Extraction (DLE) ที่ใช้พลังงานและน้ำน้อยลง แต่ต้นทุนยังสูง และยังอยู่ระหว่างการพัฒนา
ความยั่งยืนที่ไม่ควรหมายถึงการเบียดเบียนผู้อื่น
แม้เทคโนโลยีสีเขียวจะมีเจตนารมณ์ในการลดคาร์บอน แต่หากการดำเนินการขาดความรอบคอบและไม่เห็นหัวชุมชนหรือธรรมชาติในพื้นที่ต้นน้ำ เทคโนโลยีนั้นอาจกลายเป็นมีดสองคมที่ย้อนทำร้ายผู้คนและสิ่งแวดล้อมในอีกรูปแบบหนึ่ง
ในท้ายที่สุด คำถามที่โลกต้องตอบให้ได้คือ
"เราจะผลิตพลังงานสะอาดเพื่อปกป้องอนาคตของโลก ได้อย่างไร โดยไม่ทำลายอนาคตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในวันนี้?"
เทคโนโลยีสีเขียวหรือพลังงานสะอาดบางประเภท แม้จะตั้งใจลดการปล่อยคาร์บอน แต่กลับส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในรูปแบบใหม่ๆ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา หรือพื้นที่ที่เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ภูเขา และทะเลสาบ
ต่อไปนี้คือ ข้อมูลเสริมจากกรณีศึกษาในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ที่เกี่ยวข้องกับ "ด้านมืดของเทคโนโลยีสีเขียว"
เหมืองแร่นิเกิลในอินโดนีเซีย (Nickel Mining, Sulawesi)
อินโดนีเซีย โดยเฉพาะเกาะสุลาเวสี กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตนิเกิลที่จำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ส่งผลให้ป่าไม้เขตร้อนถูกตัดเพื่อเปิดเหมือง เกิดตะกอนและสารเคมีจากเหมืองไหลลงสู่แม่น้ำและทะเล ทำลายแนวปะการังและวิถีชีวิตของชาวประมง ยิ่งกว่านั้นยังเกิดมลพิษทางอากาศจากการแปรรูปแร่ในโรงถลุง โดยเฉพาะโรงงานที่ใช้พลังงานจากถ่านหิน หลายชุมชนพื้นเมืองร้องเรียนว่าไม่ได้รับการปรึกษา และถูกย้ายออกจากที่ดินดั้งเดิมของตน
โครงการพลังงานลมในเม็กซิโก (Isthmus of Tehuantepec)
พื้นที่ชายฝั่งในรัฐโออาซากา ทางตอนใต้ของเม็กซิโก มีลมแรงตลอดปี รัฐบาลจึงสนับสนุนให้ติดตั้งกังหันลมจำนวนมาก ผลที่เกิดขึ้นคือชนพื้นเมือง Zapotec และ Ikoots ซึ่งพึ่งพาที่ดินทำกินและทะเลสาบ กลับถูกจำกัดการเข้าถึงทรัพยากร รายได้จากโครงการไปอยู่กับบริษัทต่างชาติ (เช่นจากยุโรป) มากกว่าชุมชน มีรายงานว่าเกิดการข่มขู่และคุกคามนักเคลื่อนไหวในพื้นที่ สุดท้ายแล้วพลังงานลมแม้ไม่ก่อมลพิษ แต่หากละเลยสิทธิของเจ้าของที่ดินและชุมชนก็เป็นปัญหาทางสังคม
เหมืองแร่โคบอลต์ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (Cobalt Mining in DR Congo)
โคบอลต์เป็นอีกหนึ่งแร่ที่จำเป็นต่อแบตเตอรี่ EV และอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ แต่มีรายงานข่าวเล็ดลอดออกมาเสมอว่า การทำเหมืองในคองโกส่วนใหญ่ใช้แรงงานเด็ก และแรงงานที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน เกิดการปนเปื้อนของโลหะหนักในแหล่งน้ำและดิน สภาพแวดล้อมรอบเมืองเหมืองอย่าง Kolwezi เสื่อมโทรมอย่างหนัก แม้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก เช่น Apple, Tesla หรือ Microsoft จะพยายามติดตามซัพพลายเชน แต่ก็ยังพบปัญหาการจัดหาที่ไม่โปร่งใสอยู่ดี
เขื่อนพลังน้ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น ลาว และเขตแม่น้ำโขง)
แม้เขื่อนพลังน้ำถูกมองว่าเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่ปล่อยคาร์บอน แต่การเปลี่ยนแปลงกระแสน้ำจากต้นน้ำทำให้การทำเกษตรและการประมงของชาวบ้านในลุ่มน้ำโขงเสื่อมถอย เกิดการอพยพของประชาชนโดยไม่สมัครใจ ยิ่งกว่านั้นการสะสมของตะกอนทำให้ระบบนิเวศท้ายน้ำเสียหาย ตัวอย่าง เช่น เขื่อนไซยะบุรีในลาว ที่ก่อสร้างโดยมีความร่วมมือจากหลายประเทศ รวมถึงไทย ได้รับเสียงวิจารณ์จากนักอนุรักษ์และชุมชนในกัมพูชา เวียดนาม
แผงโซลาร์เซลล์และขยะอิเล็กทรอนิกส์ (Solar Panel Lifecycle)
แผงโซลาร์เซลล์จำนวนมากกำลังเข้าสู่ช่วงหมดอายุการใช้งาน (ประมาณ 25-30 ปี) ประเทศกำลังพัฒนาไม่มีระบบจัดการหรือรีไซเคิลแผงพลังงานแสงอาทิตย์อย่างมีประสิทธิภาพ มีการฝังกลบหรือเผา ทำให้สารพิษ เช่น แคดเมียม ตะกั่ว และซิลิกอนหลุดสู่ดิน หากไม่มีมาตรฐานการจัดการที่ชัดเจน ขยะพลังงานสะอาดอาจกลายเป็น “ภัยเงียบ” ในอนาคต
อ้างอิง: BBC.Com


