posttoday

เจาะ "สกายวอล์กราชวิถี" ทางยกระดับใหม่ เชื่อมชีวิตเมืองน่าเดิน

14 กรกฎาคม 2568

สำรวจรูปแบบ “สกายวอล์กราชวิถี" 1.3 กม. ดีไซน์นวัตกรรมเพื่อทุกคน อำนวยความสะดวกคนพิการ เดินปลอดภัย เชื่อมต่อเมืองอย่างเข้าใจ เปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองเดินได้จริง

“เมืองเดินได้” หรือ Walkable City กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของเมืองใหญ่ทั่วโลก กรุงเทพฯ ก็ไม่ยอมตกเทรนด์ ล่าสุด กทม. ประกาศเดินหน้าโครงการทางเดินลอยฟ้า “สกายวอล์กราชวิถี” ความยาว 1.341 กิโลเมตร ที่จะเปลี่ยนโฉมพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ – แยกตึกชัย ให้กลายเป็นต้นแบบเมืองเดินได้แห่งใหม่ที่รวมเอาแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และการออกแบบเพื่อทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน

 

เมืองที่เดินได้ พื้นฐานของเมืองยั่งยืน

มหานครที่ยั่งยืนไม่จำเป็นต้องมีแต่รถยนต์ไร้มลพิษหรือคาร์บอนต่ำ หากแต่ต้องเป็นเมืองที่ให้คนเดินเท้าได้อย่างสะดวก สบาย และปลอดภัย เช่นเดียวกับที่หลายเมืองใหญ่ เช่น โซล โตเกียว ปารีส หรือสิงคโปร์ ต่างพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคนเดินอย่างต่อเนื่อง เพราะเมืองที่คนเดินได้ คือเมืองที่สุขภาพดี ลดการใช้พลังงาน และเชื่อมโยงชุมชนอย่างแท้จริง

 

เจาะ "สกายวอล์กราชวิถี" ทางยกระดับใหม่ เชื่อมชีวิตเมืองน่าเดิน

 

“สกายวอล์กราชวิถี” กับภารกิจเปลี่ยนกรุงเทพฯ

โครงการนี้ได้รับการขับเคลื่อนโดยกรุงเทพมหานครภายใต้การนำของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โดยมีจุดหมายเพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานคนเดินเข้ากับพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่ม ทั้งผู้ป่วย คนพิการ ผู้สูงอายุ และคนทำงาน

 

การออกแบบจึงให้ความสำคัญกับ “Universal Design” อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการทางสายตา เช่น การใช้พื้นผิว tactile paving สำหรับการนำทาง, ราวจับที่มีระดับต่าง ๆ, และระบบแสงสว่างที่เพียงพอเพื่อความปลอดภัยในเวลากลางคืน

 

เจาะ "สกายวอล์กราชวิถี" ทางยกระดับใหม่ เชื่อมชีวิตเมืองน่าเดิน

 

รายละเอียดโครงสร้างและดีไซน์ที่ล้ำสมัย

หนึ่งในไฮไลต์ของสกายวอล์กราชวิถี คือการ “ไม่ปักเสาบนทางเท้า” แม้แต่ต้นเดียว โดยโครงสร้างจะอยู่ภายในแนวรั้ว เพื่อไม่รบกวนการเดินทางของประชาชน และทำให้ทางเท้าด้านล่างยังสามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ระหว่างการก่อสร้าง

 

วัสดุและดีไซน์จะเน้นความโปร่ง สะอาดตา ทันสมัย พร้อมหลังคาที่ออกแบบให้กรองแสงแดดและกันฝน ช่วยสร้างร่มเงาตลอดแนวทางเดิน เสมือนเป็น “หลังคาลอยฟ้า” ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยและเชื้อเชิญให้คนใช้จริง ไม่ใช่แค่โครงเหล็กที่น่ากลัวในยามค่ำคืน

 

แนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อมและต้นไม้ใหญ่

โครงการนี้ยังแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการอนุรักษ์ต้นไม้ โดยความร่วมมือจาก UDDC, คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และกลุ่ม Big Trees ได้สำรวจสุขภาพต้นไม้ตลอดแนวโครงการ

 

พบต้นไม้ 197 ต้น โดยจะรักษาไว้ 49 ต้น ล้อมย้าย 12 ต้น ตัดแต่ง 105 ต้น และถอนต้นที่ป่วย 31 ต้นอย่างมีหลักเกณฑ์ ซึ่งเน้น “การเคารพต้นไม้” เป็นหัวใจของการออกแบบ

 

ต้นไม้ที่ต้องถอนจะถูกประเมินสุขภาพอย่างรอบคอบ บางต้นที่กลวงหรือเสี่ยงต่อการโค่นล้มจะถูกนำออกและนำไปใช้ต่อในรูปแบบอื่น เช่น ฟืน ปุ๋ย หรือวัสดุรีไซเคิล ทั้งหมดนี้เพื่อตอบสนองนโยบาย “ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า” อย่างแท้จริง

 

เปรียบเทียบกับ Skywalk ในกรุงเทพฯ และต่างประเทศ

ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีสกายวอล์คหลายแห่ง เช่น สกายวอล์ค BTS สยาม-ชิดลม หรือสกายวอล์คปทุมวัน-สนามกีฬา แต่หลายแห่งยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึง (accessibility) หรือความเชื่อมโยงแบบองค์รวม

 

ในขณะที่สกายวอล์กราชวิถีได้รับการออกแบบให้ต่อเนื่องและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานทุกกลุ่มอย่างแท้จริง พร้อมรองรับ “เมืองเดินได้” ในบริบทเมืองจริง ไม่ใช่แค่ในย่านธุรกิจหรือห้างหรู

 

หากเปรียบเทียบกับ “Cheonggyecheon Skywalk” ในกรุงโซล หรือ “Fort Canning Skywalk” ในสิงคโปร์ จะพบว่าสกายวอล์กราชวิถีมีแนวคิดใกล้เคียงกันในแง่การรวมเมืองเข้ากับธรรมชาติ การสร้างร่มเงา และการคำนึงถึงผู้ใช้ที่เปราะบาง โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยคนพิการ ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของเมืองสมัยใหม่

 

แผนการก่อสร้าง ค่อยเป็นค่อยไป ลดผลกระทบ

เพื่อไม่รบกวนการสัญจรและชีวิตประจำวันของประชาชนมากเกินไป โครงการจึงถูกแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 6 ช่วง โดยเริ่มต้นจากเดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2569 รวมระยะเวลาดำเนินการ 360 วัน

ทุกช่วงจะมีการคืนพื้นที่ให้ใช้งานได้หลังจากก่อสร้างเสร็จในแต่ละจุด และมีแผนประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งเตือนและให้ข้อมูลประชาชนล่วงหน้าอย่างทั่วถึง

 

เมืองเดินได้ ไม่ใช่แค่โครงสร้าง แต่คือแนวคิดการใช้ชีวิต

ทางเดินลอยฟ้าราชวิถีไม่ใช่แค่ทางเดินลอยฟ้า แต่คือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเมืองหลวงที่เคยพึ่งพารถยนต์อย่างหนัก ให้กลายเป็นเมืองที่มนุษย์เดินเท้าได้รับการเคารพและให้ความสำคัญ

 

การสร้างเมืองที่เดินได้ เดินดี และน่าเดิน คือการลงทุนในคุณภาพชีวิต ความเท่าเทียม สุขภาพของประชาชน และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

 

เมื่อโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์ มันจะไม่ใช่แค่ “สะพานลอยขนาดใหญ่” แต่คือหนึ่งในต้นแบบของโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสร้างมหานครแห่งอนาคต มหานครที่ “คน” เดินได้จริง ไม่ใช่แค่ในนโยบาย แต่บนพื้นดินและทางเดินจริง

 

Rajavithi Skywalk: โดดเด่นอย่างไร?

  • เสาไม่รุกล้ำทางเท้า ติดตั้งภายในแนวรั้วเท่านั้น
  • มีหลังคาตลอดแนวกันแดดกันฝน
  • ออกแบบเพื่อกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ เช่น ผู้พิการทางสายตา
  • เป็น "Skywalk เชิงสาธารณสุข" เชื่อมโรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่ง
  • เน้นการอนุรักษ์ต้นไม้สูงสุด พร้อมวางแผนล้อมย้าย-ตัดแต่งอย่างมืออาชีพ
  • ใช้เวลาก่อสร้างเป็นเฟส ลดผลกระทบผู้ใช้ถนน

 

บทเรียนจากต่างประเทศที่นำมาใช้:

  • แนวคิด Walkable City จากเกาหลีใต้และนิวยอร์ก ช่วยพลิกฟื้นพื้นที่รกร้างให้กลายเป็นพื้นที่เดินเท้า-พื้นที่สาธารณะ
  • การปลูกต้นไม้บนทางยกระดับ ช่วยลดความร้อนและมลพิษในเมือง
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืนในระยะยาว

 

รายละเอียดการออกแบบ “สกายวอล์กราชวิถี” (Rajavithi Skywalk)

1. แนวเส้นทาง (Alignment Design)

  • ความยาวรวม 1.341 กิโลเมตร แบ่งเป็น 2 ช่วง:

- ช่วงที่ 1: แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ – แยกตึกชัย (1 กม.)

- ช่วงที่ 2: เกาะราชวิถี – เกาะพหลโยธิน (341 เมตร)

  • เชื่อม โรงพยาบาลหลัก 3 แห่ง และสถานศึกษา สำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น โรงเรียนสอนคนตาบอด
  • มีจุดเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่หนาแน่น เพื่อสนับสนุน “last-mile connectivity”

 

2. โครงสร้างและวัสดุ (Structure & Materials)

  • โครงสร้างทางเดินแบบ Steel Beam หรือ คานเหล็กน้ำหนักเบา รองรับแรงสั่นสะเทือนจากผู้ใช้งานจำนวนมาก
  • วัสดุพื้นทางเดินแบบ Non-slip Surface ช่วยให้ปลอดภัยแม้ในวันที่ฝนตก
  • ราวกันตกสูงมาตรฐาน พร้อมวัสดุกันกระแทก สำหรับความปลอดภัยของเด็กและผู้สูงอายุ
  • มีการเลือกใช้ วัสดุที่ดูดซับเสียง ในบางจุด เพื่อไม่รบกวนพื้นที่โรงพยาบาล

 

3. ภูมิสถาปัตย์และพื้นที่สีเขียว (Landscape Design)

  • พื้นที่ทางเดินบางช่วงออกแบบให้สามารถปลูกต้นไม้ในรางปลูก (Planter Boxes) หรือวางกระถางบนโครงสร้าง
  • มี “แนวหลังคาโปร่งแสง” (Translucent Canopy) ยาวตลอดเส้นทาง เพื่อบังแดดและฝน พร้อมให้แสงธรรมชาติลอดผ่าน
  • ใช้หลักการ Urban Ecology ร่วมกับ Big Trees และคณะวนศาสตร์ มก. เพื่อบริหารจัดการต้นไม้ในพื้นที่อย่างยั่งยืน

 

4. Inclusive Design – การออกแบบเพื่อทุกคน

  • ราวจับ 2 ระดับ (สำหรับเด็กและผู้ใหญ่)
  • พื้นลายเส้นนำทาง (Tactile paving) สำหรับผู้พิการทางสายตา
  • จุดพักพร้อมที่นั่งและพื้นที่ร่มเงาทุกระยะ 200-300 เมตร สำหรับผู้สูงอายุ
  • ใช้สีพื้นและเส้นนำทางที่มี contrast สูง ช่วยในการมองเห็นสำหรับผู้ที่มีสายตาเลือนราง

 

5. Smart & Sustainable

  • มีระบบ ไฟฟ้าส่องสว่าง LED อัตโนมัติแบบประหยัดพลังงาน ตลอดแนวสกายวอล์ก
  • บางจุดอาจติดตั้ง Solar Cell บนหลังคาโปร่งแสง เพื่อเสริมพลังงานหมุนเวียนในอนาคต
  • มีแผนเชื่อมต่อกับ Smart Mobility Hub และระบบ IoT ของ กทม. เช่น กล้องวงจรปิด, เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ, ระบบดูแลต้นไม้อัตโนมัติ

 

ข้อสังเกตเพิ่มเติม

  • Rajavithi Skywalk เป็น โครงการที่ “Function > Form” เน้นการใช้งานจริงมากกว่าความงามทางสถาปัตย์
  • เป็นการ “เชื่อมโยงเมืองเพื่อคุณภาพชีวิต” ไม่ใช่แค่ทางเดินสำหรับนักท่องเที่ยว
  • เป็นแบบอย่างของ “Urban Infrastructure for Well-being” ที่ควรขยายผลสู่ย่านอื่นของกรุงเทพฯ เช่น พระราม 4, ศูนย์ราชการ, รัชดา

ข่าวล่าสุด

BUZZEBEES สร้างประวัติการณ์! กวาดฐานผู้ใช้งานทะลุ 200 ล้านบัญชี