เจาะ "สกายวอล์กราชวิถี" ทางยกระดับใหม่ เชื่อมชีวิตเมืองน่าเดิน
สำรวจรูปแบบ “สกายวอล์กราชวิถี" 1.3 กม. ดีไซน์นวัตกรรมเพื่อทุกคน อำนวยความสะดวกคนพิการ เดินปลอดภัย เชื่อมต่อเมืองอย่างเข้าใจ เปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองเดินได้จริง
“เมืองเดินได้” หรือ Walkable City กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของเมืองใหญ่ทั่วโลก กรุงเทพฯ ก็ไม่ยอมตกเทรนด์ ล่าสุด กทม. ประกาศเดินหน้าโครงการทางเดินลอยฟ้า “สกายวอล์กราชวิถี” ความยาว 1.341 กิโลเมตร ที่จะเปลี่ยนโฉมพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ – แยกตึกชัย ให้กลายเป็นต้นแบบเมืองเดินได้แห่งใหม่ที่รวมเอาแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และการออกแบบเพื่อทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน
เมืองที่เดินได้ พื้นฐานของเมืองยั่งยืน
มหานครที่ยั่งยืนไม่จำเป็นต้องมีแต่รถยนต์ไร้มลพิษหรือคาร์บอนต่ำ หากแต่ต้องเป็นเมืองที่ให้คนเดินเท้าได้อย่างสะดวก สบาย และปลอดภัย เช่นเดียวกับที่หลายเมืองใหญ่ เช่น โซล โตเกียว ปารีส หรือสิงคโปร์ ต่างพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคนเดินอย่างต่อเนื่อง เพราะเมืองที่คนเดินได้ คือเมืองที่สุขภาพดี ลดการใช้พลังงาน และเชื่อมโยงชุมชนอย่างแท้จริง
“สกายวอล์กราชวิถี” กับภารกิจเปลี่ยนกรุงเทพฯ
โครงการนี้ได้รับการขับเคลื่อนโดยกรุงเทพมหานครภายใต้การนำของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โดยมีจุดหมายเพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานคนเดินเข้ากับพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่ม ทั้งผู้ป่วย คนพิการ ผู้สูงอายุ และคนทำงาน
การออกแบบจึงให้ความสำคัญกับ “Universal Design” อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการทางสายตา เช่น การใช้พื้นผิว tactile paving สำหรับการนำทาง, ราวจับที่มีระดับต่าง ๆ, และระบบแสงสว่างที่เพียงพอเพื่อความปลอดภัยในเวลากลางคืน
รายละเอียดโครงสร้างและดีไซน์ที่ล้ำสมัย
หนึ่งในไฮไลต์ของสกายวอล์กราชวิถี คือการ “ไม่ปักเสาบนทางเท้า” แม้แต่ต้นเดียว โดยโครงสร้างจะอยู่ภายในแนวรั้ว เพื่อไม่รบกวนการเดินทางของประชาชน และทำให้ทางเท้าด้านล่างยังสามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ระหว่างการก่อสร้าง
วัสดุและดีไซน์จะเน้นความโปร่ง สะอาดตา ทันสมัย พร้อมหลังคาที่ออกแบบให้กรองแสงแดดและกันฝน ช่วยสร้างร่มเงาตลอดแนวทางเดิน เสมือนเป็น “หลังคาลอยฟ้า” ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยและเชื้อเชิญให้คนใช้จริง ไม่ใช่แค่โครงเหล็กที่น่ากลัวในยามค่ำคืน
แนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อมและต้นไม้ใหญ่
โครงการนี้ยังแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการอนุรักษ์ต้นไม้ โดยความร่วมมือจาก UDDC, คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และกลุ่ม Big Trees ได้สำรวจสุขภาพต้นไม้ตลอดแนวโครงการ
พบต้นไม้ 197 ต้น โดยจะรักษาไว้ 49 ต้น ล้อมย้าย 12 ต้น ตัดแต่ง 105 ต้น และถอนต้นที่ป่วย 31 ต้นอย่างมีหลักเกณฑ์ ซึ่งเน้น “การเคารพต้นไม้” เป็นหัวใจของการออกแบบ
ต้นไม้ที่ต้องถอนจะถูกประเมินสุขภาพอย่างรอบคอบ บางต้นที่กลวงหรือเสี่ยงต่อการโค่นล้มจะถูกนำออกและนำไปใช้ต่อในรูปแบบอื่น เช่น ฟืน ปุ๋ย หรือวัสดุรีไซเคิล ทั้งหมดนี้เพื่อตอบสนองนโยบาย “ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า” อย่างแท้จริง
เปรียบเทียบกับ Skywalk ในกรุงเทพฯ และต่างประเทศ
ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีสกายวอล์คหลายแห่ง เช่น สกายวอล์ค BTS สยาม-ชิดลม หรือสกายวอล์คปทุมวัน-สนามกีฬา แต่หลายแห่งยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึง (accessibility) หรือความเชื่อมโยงแบบองค์รวม
ในขณะที่สกายวอล์กราชวิถีได้รับการออกแบบให้ต่อเนื่องและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานทุกกลุ่มอย่างแท้จริง พร้อมรองรับ “เมืองเดินได้” ในบริบทเมืองจริง ไม่ใช่แค่ในย่านธุรกิจหรือห้างหรู
หากเปรียบเทียบกับ “Cheonggyecheon Skywalk” ในกรุงโซล หรือ “Fort Canning Skywalk” ในสิงคโปร์ จะพบว่าสกายวอล์กราชวิถีมีแนวคิดใกล้เคียงกันในแง่การรวมเมืองเข้ากับธรรมชาติ การสร้างร่มเงา และการคำนึงถึงผู้ใช้ที่เปราะบาง โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยคนพิการ ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของเมืองสมัยใหม่
แผนการก่อสร้าง ค่อยเป็นค่อยไป ลดผลกระทบ
เพื่อไม่รบกวนการสัญจรและชีวิตประจำวันของประชาชนมากเกินไป โครงการจึงถูกแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 6 ช่วง โดยเริ่มต้นจากเดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2569 รวมระยะเวลาดำเนินการ 360 วัน
ทุกช่วงจะมีการคืนพื้นที่ให้ใช้งานได้หลังจากก่อสร้างเสร็จในแต่ละจุด และมีแผนประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งเตือนและให้ข้อมูลประชาชนล่วงหน้าอย่างทั่วถึง
เมืองเดินได้ ไม่ใช่แค่โครงสร้าง แต่คือแนวคิดการใช้ชีวิต
ทางเดินลอยฟ้าราชวิถีไม่ใช่แค่ทางเดินลอยฟ้า แต่คือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเมืองหลวงที่เคยพึ่งพารถยนต์อย่างหนัก ให้กลายเป็นเมืองที่มนุษย์เดินเท้าได้รับการเคารพและให้ความสำคัญ
การสร้างเมืองที่เดินได้ เดินดี และน่าเดิน คือการลงทุนในคุณภาพชีวิต ความเท่าเทียม สุขภาพของประชาชน และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
เมื่อโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์ มันจะไม่ใช่แค่ “สะพานลอยขนาดใหญ่” แต่คือหนึ่งในต้นแบบของโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสร้างมหานครแห่งอนาคต มหานครที่ “คน” เดินได้จริง ไม่ใช่แค่ในนโยบาย แต่บนพื้นดินและทางเดินจริง
Rajavithi Skywalk: โดดเด่นอย่างไร?
- เสาไม่รุกล้ำทางเท้า ติดตั้งภายในแนวรั้วเท่านั้น
- มีหลังคาตลอดแนวกันแดดกันฝน
- ออกแบบเพื่อกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ เช่น ผู้พิการทางสายตา
- เป็น "Skywalk เชิงสาธารณสุข" เชื่อมโรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่ง
- เน้นการอนุรักษ์ต้นไม้สูงสุด พร้อมวางแผนล้อมย้าย-ตัดแต่งอย่างมืออาชีพ
- ใช้เวลาก่อสร้างเป็นเฟส ลดผลกระทบผู้ใช้ถนน
บทเรียนจากต่างประเทศที่นำมาใช้:
- แนวคิด Walkable City จากเกาหลีใต้และนิวยอร์ก ช่วยพลิกฟื้นพื้นที่รกร้างให้กลายเป็นพื้นที่เดินเท้า-พื้นที่สาธารณะ
- การปลูกต้นไม้บนทางยกระดับ ช่วยลดความร้อนและมลพิษในเมือง
- การมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืนในระยะยาว
รายละเอียดการออกแบบ “สกายวอล์กราชวิถี” (Rajavithi Skywalk)
1. แนวเส้นทาง (Alignment Design)
- ความยาวรวม 1.341 กิโลเมตร แบ่งเป็น 2 ช่วง:
- ช่วงที่ 1: แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ – แยกตึกชัย (1 กม.)
- ช่วงที่ 2: เกาะราชวิถี – เกาะพหลโยธิน (341 เมตร)
- เชื่อม โรงพยาบาลหลัก 3 แห่ง และสถานศึกษา สำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น โรงเรียนสอนคนตาบอด
- มีจุดเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่หนาแน่น เพื่อสนับสนุน “last-mile connectivity”
2. โครงสร้างและวัสดุ (Structure & Materials)
- โครงสร้างทางเดินแบบ Steel Beam หรือ คานเหล็กน้ำหนักเบา รองรับแรงสั่นสะเทือนจากผู้ใช้งานจำนวนมาก
- วัสดุพื้นทางเดินแบบ Non-slip Surface ช่วยให้ปลอดภัยแม้ในวันที่ฝนตก
- ราวกันตกสูงมาตรฐาน พร้อมวัสดุกันกระแทก สำหรับความปลอดภัยของเด็กและผู้สูงอายุ
- มีการเลือกใช้ วัสดุที่ดูดซับเสียง ในบางจุด เพื่อไม่รบกวนพื้นที่โรงพยาบาล
3. ภูมิสถาปัตย์และพื้นที่สีเขียว (Landscape Design)
- พื้นที่ทางเดินบางช่วงออกแบบให้สามารถปลูกต้นไม้ในรางปลูก (Planter Boxes) หรือวางกระถางบนโครงสร้าง
- มี “แนวหลังคาโปร่งแสง” (Translucent Canopy) ยาวตลอดเส้นทาง เพื่อบังแดดและฝน พร้อมให้แสงธรรมชาติลอดผ่าน
- ใช้หลักการ Urban Ecology ร่วมกับ Big Trees และคณะวนศาสตร์ มก. เพื่อบริหารจัดการต้นไม้ในพื้นที่อย่างยั่งยืน
4. Inclusive Design – การออกแบบเพื่อทุกคน
- ราวจับ 2 ระดับ (สำหรับเด็กและผู้ใหญ่)
- พื้นลายเส้นนำทาง (Tactile paving) สำหรับผู้พิการทางสายตา
- จุดพักพร้อมที่นั่งและพื้นที่ร่มเงาทุกระยะ 200-300 เมตร สำหรับผู้สูงอายุ
- ใช้สีพื้นและเส้นนำทางที่มี contrast สูง ช่วยในการมองเห็นสำหรับผู้ที่มีสายตาเลือนราง
5. Smart & Sustainable
- มีระบบ ไฟฟ้าส่องสว่าง LED อัตโนมัติแบบประหยัดพลังงาน ตลอดแนวสกายวอล์ก
- บางจุดอาจติดตั้ง Solar Cell บนหลังคาโปร่งแสง เพื่อเสริมพลังงานหมุนเวียนในอนาคต
- มีแผนเชื่อมต่อกับ Smart Mobility Hub และระบบ IoT ของ กทม. เช่น กล้องวงจรปิด, เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ, ระบบดูแลต้นไม้อัตโนมัติ
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
- Rajavithi Skywalk เป็น โครงการที่ “Function > Form” เน้นการใช้งานจริงมากกว่าความงามทางสถาปัตย์
- เป็นการ “เชื่อมโยงเมืองเพื่อคุณภาพชีวิต” ไม่ใช่แค่ทางเดินสำหรับนักท่องเที่ยว
- เป็นแบบอย่างของ “Urban Infrastructure for Well-being” ที่ควรขยายผลสู่ย่านอื่นของกรุงเทพฯ เช่น พระราม 4, ศูนย์ราชการ, รัชดา


