posttoday

“ระมัดระวังแต่ไม่ตื่นตระหนก” ผลกระทบพลังงาน ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน

13 กรกฎาคม 2568

ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่านปะทุรุนแรง เสี่ยงกระทบการขนส่งน้ำมันและก๊าซผ่านช่องแคบฮอร์มุซ จุดยุทธศาสตร์สำคัญของพลังงานโลก

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศในตะวันออกกลางมีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับความมั่นคงด้านพลังงานของโลก โดยเฉพาะบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขนส่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากกลุ่มประเทศผู้ผลิตในอ่าวเปอร์เซียไปยังประเทศผู้บริโภคทั่วโลก ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในระยะหลังจึงเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดพลังงานโลกทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

“ระมัดระวังแต่ไม่ตื่นตระหนก” ผลกระทบพลังงาน ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน

 

ช่องแคบฮอร์มุซ: เส้นเลือดใหญ่ของพลังงานโลก

ช่องแคบฮอร์มุซมีความยาวประมาณ 167 กิโลเมตร เป็นทางเชื่อมระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน ซึ่งในแต่ละวันมีการลำเลียงน้ำมันดิบ คอนเดนเสท และของเหลวอื่นๆ ผ่านเส้นทางนี้มากกว่า 20 ล้านบาร์เรล/วัน คิดเป็นประมาณ 20% ของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลก จึงถือเป็น checkpoint ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อเสถียรภาพด้านพลังงานในระดับโลก อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับประเทศอื่นๆ จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่การขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และไม่มีสัญญาณการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปริมาณหรือจำนวนเรือบรรทุกน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา

 

ความขัดแย้งอิสราเอล–อิหร่าน: ความเสี่ยงต่อตลาดพลังงาน

ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งมีทั้งมิติทางการทหารและอุดมการณ์ อาจนำไปสู่ความไม่แน่นอนในภูมิภาค โดยเฉพาะหากเกิดการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลังงาน หรือหากอิหร่านถูกกดดันจนใช้มาตรการตอบโต้ เช่น การข่มขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ แม้ในอดีตอิหร่านจะไม่เคยปิดช่องแคบอย่างเป็นทางการ แต่เหตุการณ์การสู้รบหรือการวางกับระเบิดก็อาจทำให้เส้นทางเดินเรือได้รับผลกระทบ และส่งแรงกระเพื่อมต่อราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในตลาดโลก

 

ทางเลือกของการขนส่งน้ำมัน

แม้ช่องแคบฮอร์มุซจะมีความสำคัญยิ่ง แต่ก็ยังมีเส้นทางสำรองที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ได้แก่

  • ท่อส่งน้ำมัน East-West ของซาอุดีอาระเบีย ที่มีขีดความสามารถสูงถึง 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ก็เผชิญความเสี่ยงจากกลุ่มฮูตีในเยเมน
  • ท่อส่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ขนส่งน้ำมันหลีกเลี่ยงช่องแคบได้ในระดับหนึ่ง (ความจุประมาณ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน)
  • ท่อส่งของอิหร่านจากเกาะคาร์กไปยังจาสก์ ซึ่งสามารถขนส่งได้ราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซ

อย่างไรก็ตาม เส้นทางเหล่านี้มีขีดความสามารถจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการของตลาดโลก และยังต้องเผชิญความเสี่ยงด้านความมั่นคงเช่นกัน

 

“ระมัดระวังแต่ไม่ตื่นตระหนก”

 

ในช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันตอบสนองต่อสถานการณ์ในลักษณะ “ระมัดระวังแต่ไม่ตื่นตระหนก” ซึ่งต่างจากในอดีตที่เกิดการพุ่งสูงขึ้นของราคาน้ำมันทันทีที่มีความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทั้งนี้เนื่องจากตลาดอยู่ในภาวะที่มีอุปทานมากกว่าอุปสงค์ (Surplus) จากหลายปัจจัย เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และการผลิตที่ยังเพิ่มขึ้นจากกลุ่ม OPEC+ ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่ค่อนข้างคงที่ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการปิดช่องแคบฮอร์มุซในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ (ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือนานาชาติ) ทำให้ตลาดเชื่อว่าความเป็นไปได้ของการ “ปิดจริง” ยังค่อนข้างต่ำ

 

วิเคราะห์แนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงของตลาดพลังงานไทย

หากเกิดกรณีฉุกเฉินที่การส่งออกน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียหยุดชะงัก ไทยในฐานะประเทศผู้นำเข้าน้ำมันควรมีแนวทางบริหารจัดการน้ำมันสำรองอย่างเป็นระบบ โดยบทความนี้จะทำการวิเคราะห์แนวทางการรับมือใน 3 มิติหลัก ได้แก่ (1) ด้านยุทธศาสตร์พลังงาน (2) ด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ และ (3) ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ

1. ด้านยุทธศาสตร์พลังงาน

  • ยกระดับแผนการสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve, SPR) ไทยควรสำรองน้ำมันให้มากขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ที่ราว 50 วัน ให้ครอบคลุม อย่างน้อย 90 วันของการบริโภค เพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงจัดทำแผนใช้ SPR อย่างเป็นระบบ เช่น กำหนดเกณฑ์การปล่อยน้ำมันในภาวะวิกฤต
  • กระจายความเสี่ยงของแหล่งนำเข้า ปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางมากกว่า 60% เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต เราควรหันไปเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าจากประเทศอื่นด้วย เช่น แอฟริกาใต้ บราซิล หรือแหล่งน้ำมันในเอเชีย เพื่อกระจายความเสี่ยงจากภูมิภาคตะวันออกกลาง
  • เร่งส่งเสริมพลังงานทางเลือก สนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันในระยะยาวของประชาชน
  • การจัดทำแผนสำรองฉุกเฉิน ที่ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ทั้งการหยุดส่งออกจากตะวันออกกลาง หรือการพุ่งสูงของราคาน้ำมันโลก

 

2. ด้านเศรษฐกิจและสังคม

  • จัดการราคาน้ำมันในประเทศอย่างยืดหยุ่น โดยใช้นโยบายเชิงรุก เช่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ผันผวนเกินไปในช่วงวิกฤต
  • ลดต้นทุนด้านพลังงานของภาคอุตสาหกรรมและขนส่ง ผ่านมาตรการจูงใจ เช่น เครดิตภาษีหรือเงินอุดหนุน สำหรับการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดในภาคธุรกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภคในระยะยาว
  • เร่งให้ความรู้ประชาชน เกี่ยวกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพร้อมรับมือหากเกิดวิกฤต เช่น การรณรงค์ลดการใช้พลังงานในช่วงพีค

 

3. ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ

  • เข้าร่วมกลไกระดับภูมิภาค เช่น ASEAN Petroleum Security Agreement (APSA) เพื่อใช้กลไกการแบ่งปันสำรองน้ำมันระหว่างกันในยามวิกฤต
  • ร่วมมือกับประเทศผู้ส่งออกพลังงานในเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน ในการพัฒนา supply chain ภายในภูมิภาคให้มั่นคงยิ่งขึ้น
  • การบริหารสต็อกเชิงรุก ร่วมกับกลไกตลาดและภาคเอกชน เช่น การแลกเปลี่ยนคลังน้ำมันกับประเทศพันธมิตร

 

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญต่อความมั่นคงด้านพลังงานของโลก แม้ช่องแคบฮอร์มุซยังไม่ถูกปิด และตลาดยังไม่มีสัญญาณตื่นตระหนก แต่การเตรียมพร้อมรับมือด้วยการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในประเทศผู้นำเข้าพลังงานอย่างไทย ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบหากเกิดวิกฤตขึ้นจริง

 

ดร.ณัทกฤช อภิภูชยะกุล ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025