posttoday

ผลกระทบร่างกฏหมาย “One Big Beautiful Bill” ต่อทิศทางพลังงานสะอาดของสหรัฐฯ

08 กรกฎาคม 2568

วิเคราะห์ร่างกฎหมายพลังงาน "One Big Beautiful Bill" ของทรัมป์ ที่พลิกทิศทางนโยบายพลังงานของสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิง และมีนัยสำคัญต่อทั้งเศรษฐกิจ พลังงาน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก อย่างไร?

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ผลักดันร่างกฎหมายที่ชื่อว่า “One Big Beautiful Bill Act” ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ ทั้งสองสภา โดยมีสาระสำคัญคือการยุติการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางต่อพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม พร้อมกับเปิดทางให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล อาทิ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน อย่างเป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายที่ทรัมป์ได้เคยหาเสียงไว้ช่วงเลือกตั้ง (“Drill Baby Drill”) ร่างกฎหมายนี้ถือเป็นการพลิกทิศทางนโยบายพลังงานของสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิง และมีนัยสำคัญต่อทั้งเศรษฐกิจ พลังงาน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

 

ต่อไปนี้เป็นการวิเคราะห์ถึงผลกระทบจากร่างกฏหมาย “One Big Beautiful Bill” ต่อภาคพลังงาน

 

เพิ่มสัดส่วนการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศ

ภายใต้ร่างกฎหมายดังกล่าว รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ จะเปิดพื้นที่สาธารณะทั้งบนบกและในทะเลให้กับกิจกรรมขุดเจาะและผลิตพลังงานจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากขึ้น โดยมีการกำหนดให้มีการเปิดประมูลพื้นที่ในอ่าวเม็กซิโกอย่างน้อย 30 ครั้งภายในระยะเวลา 15 ปี และในที่ดินของรัฐบาลกลางกว่า 9 รัฐในแต่ละปี พร้อมทั้งลดค่าภาษีและค่าสัมปทานจากการผลิตพลังงานในที่ดินของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นมาตรการที่เอื้อต่อการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลมากยิ่งขึ้น

 

ผลกระทบร่างกฏหมาย “One Big Beautiful Bill” ต่อทิศทางพลังงานสะอาดของสหรัฐฯ

 

อุตสาหกรรมถ่านหินยังได้รับผลประโยชน์อย่างชัดเจน โดยกฎหมายกำหนดให้เพิ่มพื้นที่มากกว่า 4 ล้านเอเคอร์สำหรับการทำเหมือง และลดค่าสัมปทานให้กับบริษัทถ่านหิน อีกทั้งยังขยายเครดิตภาษีสำหรับการผลิตถ่านหินประเภทโลหะวิทยา (Metallurgical Coal) ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า

 

นอกจากนี้ กฎหมายยังส่งเสริมการใช้ “เครดิตภาษีการดักจับคาร์บอน” (Carbon Capture Tax Credit) ซึ่งเดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีที่ดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝังกลบไว้ใต้ดิน (Carbon Capture and Storage, CCS) แต่นำมาประยุกต์ใช้ในการกระตุ้นให้บริษัทพลังงานใช้ก๊าซคาร์บอนเพื่อเร่งการผลิตน้ำมันในแหล่งเก่า ซึ่งนับเป็นการเบี่ยงเบนเป้าหมายของนโยบายสิ่งแวดล้อมดั้งเดิม

 

ผลกระทบร่างกฏหมาย “One Big Beautiful Bill” ต่อทิศทางพลังงานสะอาดของสหรัฐฯ

 

ลดสิทธิประโยชน์และการเข้าถึงพลังงานสะอาด

ร่างกฎหมาย “One Big Beautiful Bill” ได้ยุติหรือจำกัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนและการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ซึ่งเคยเป็นกลไกหลักที่ผลักดันอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดให้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

 

เครดิตภาษีสำหรับโซลาร์เซลล์แบบบนหลังคา (Solar Rooftop) ซึ่งเคยคืนเงินให้ประชาชนสูงถึง 30% จะสิ้นสุดลงภายในปี 2027 หากโครงการไม่เริ่มก่อสร้างภายใน 12 เดือนหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะกระทบต่อทั้งระดับครัวเรือนและโครงการผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ข้อมูลจากกรมสรรพากรสหรัฐฯ ระบุว่าในปีภาษี 2023 มีครอบครัวมากกว่า 1.2 ล้านครัวเรือนที่ใช้สิทธิดังกล่าว รวมมูลค่ากว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

นอกจากนั้น กฎหมายยังระบุให้เครดิตภาษีสำหรับโครงการที่ใช้วัสดุที่ผลิตในสหรัฐฯ สิ้นสุดลงสำหรับโครงการที่เริ่มดำเนินการหลังปี 2027 ซึ่งอาจทำให้โรงงานผลิตแผงโซลาร์ในประเทศขาดแรงจูงใจ และชะลอการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานและการจ้างงานในภาคพลังงานสะอาดอย่างยิ่ง

 

ผลกระทบร่างกฏหมาย “One Big Beautiful Bill” ต่อทิศทางพลังงานสะอาดของสหรัฐฯ

 

ยกเลิกสิทธิประโยชน์สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

หนึ่งในมาตรการที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักคือ การยกเลิกเครดิตภาษีสูงสุด $7,500 สำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ และ $4,000 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่การขนส่งแบบคาร์บอนต่ำ โดยในปี 2023 รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 8% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งทางรัฐบาลไบเดนเคยตั้งเป้าไว้ให้ถึง 50% ภายในปี 2030 แต่สิ่งเหล่านี้อาจไม่เกิดขึ้นหากร่างกฎหมายนี้ถูกบังคับใช้ ด้วยราคาขายเฉลี่ยของรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงกว่ารถยนต์ทั่วไป การยกเลิกเครดิตด้านภาษีรถยนต์ไฟฟ้า อาจทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากเข้าถึงยานพาหนะสะอาดได้ยากขึ้น และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม EV ในภาพรวมของประเทศสหรัฐฯ

 

ราคาค่าไฟอาจสูงขึ้นและอาจเผชิญสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายขึ้น

องค์กรอิสระและภาคประชาสังคมด้านพลังงานประเมินว่าการยกเลิกเครดิตภาษีสำหรับพลังงานหมุนเวียนจะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากกว่า $100 ต่อปีในปีหน้า และในบางรัฐที่พึ่งพาโครงการพลังงานสะอาดอย่างมาก เช่น แคลิฟอร์เนียที่มีสัดส่วนพลังงานสะอาดจากโซล่าเซลส์สูง อาจทำให้ค่าไฟเฉลี่ยในรัฐฯเหล่านั้นเพิ่มขึ้นถึง $200 ต่อปี

 

นอกจากนั้น ขณะที่ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ที่มีการดำเนินการในหลายแห่งและต้องการพลังงานไฟฟ้าสูง อีกทั้งปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งมากขึ้น เระบซึ่งอาจส่งผลให้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของสหรัฐฯ อาจเผชิญแรงกดดันที่สูงขึ้น และอาจนำไปสู่การดับไฟบางพื้นที่ (Blackouts) ในช่วงฤดูร้อนนี้

 

โดยสรุปแล้ว แม้มีบางฝ่ายจะออกมาชื่นชมว่าร่างกฏหมาย “One Big Beautiful Bill” เป็นการคืนความสามารถในการผลิตพลังงานของประเทศ และลดการพึ่งพานโยบายที่สิ้นเปลืองงบประมาณ แต่จากมุมมองของการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืน กฎหมายฉบับนี้กลับกลายเป็นการยกเลิกเครื่องมือที่เคยช่วยให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำในด้านพลังงานหมุนเวียน

 

การตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลโดยตรงต่อการชะลอโครงการใหม่ ๆ ตัดโอกาสในการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด และเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดพลังงาน ท่ามกลางวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ต้องการนโยบายที่กล้าหาญและมีวิสัยทัศน์มากกว่าการย้อนกลับไปสู่อดีตที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก หากสหรัฐฯ จะยังคงมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานของโลก ร่างกฏหมายฉบับใหม่นี้อาจไม่ตอบโจทย์เป้าหมายในระยะยาวของประเทศ

 

ดร.ณัทกฤช อภิภูชยะกุล ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร

ข่าวล่าสุด

คลังชง ครม.สัปดาห์หน้า เคาะอัปสกิลร้านค้า คนละครึ่งพลัส 4 แสนราย วงเงิน 800 ล้าน