posttoday

ย้อนประวัติศาสตร์ กาสิโน สิงคโปร์ จากยุคมืดสู่แสงสว่าง บทเรียนและเดิมพันของชาติ

09 มิถุนายน 2568

กว่าจะมีวันนี้ของ "คาสิโนถูกกฎหมาย" ในสิงคโปร์ โพสต์ทูเดย์สำรวจไทม์ไลน์สำคัญก่อนจะมาถึงวันนี้ ว่าเพราะเหตุใดโมเดลสิงคโปร์ คือกรณีศึกษาสำคัญของ Entertainment Complex ไทย

ย้อนกลับไปเมื่อราว 200 กว่าปีก่อนสิงคโปร์ เป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยการพนันผิดกฎหมาย ก่อนกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่โดดเด่นของโลกในศตวรรษนี้ โดยมี "กาสิโน" เป็นเดิมพันสำคัญที่สร้างทั้งความมั่งคั่งและปัญหาทางสังคม แน่นอนว่าเรื่องราวบนเส้นทางนี้หาใช่เส้นทางที่ราบรื่น แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับศีลธรรมของชาติเฉกเช่นกับที่อื่นๆ ในโลก

 

โพสต์ทูเดย์ได้สำรวจไทม์ไลน์สำคัญของสิงคโปร์ภายในงานสวนาโต๊ะกลมว่าด้วยสถานบันเทิงครบวงจรของไทย หรือ Thailand Entertainment Complex Roundtable (TECR) โดยกลุ่ม IAG ก่อนจะมาถึงวันนี้ แบบให้เห็นเส้นทางชัดๆ ว่าเพราะเหตุใดโมเดลสิงคโปร์คือกรณีศึกษาสำคัญของ Entertainment Complex ไทย

 

จุดเริ่มต้น แรฟเฟิลส์กับสงครามการพนัน (ค.ศ. 1819 - 1829)

เมื่อเซอร์สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ เจ้าหน้าที่อาณานิคมชาวอังกฤษ ผู้ก่อตั้งเมืองท่าสิงคโปร์ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างจักรวรรดิอังกฤษในตะวันออกไกล เดินทางมาถึงสิงคโปร์ในปี ค.ศ. 1819 เขาก็ต้องพบกับปัญหาการพนันที่ระบาดหนัก แรฟเฟิลส์พยายามอย่างยิ่งที่จะปราบปรามการพนันผิดกฎหมาย แต่เรื่องราวกลับพลิกผันเมื่อผู้ว่าการวิลเลียม ฟาร์ควาร์ ไม่เห็นด้วย และกลับนำระบบภาษีมาใช้ อนุญาตให้มีการเปิดบ่อนการพนันอย่างถูกกฎหมายในปี ค.ศ. 1822

 

เซอร์สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ เจ้าหน้าที่อาณานิคมชาวอังกฤษ ผู้ก่อตั้งเมืองท่าสิงคโปร์

 

สงครามระหว่าง "การห้าม" กับ "การอนุญาต" ยังคงดำเนินต่อไป

แรฟเฟิลส์พยายามยกเลิกการพนันที่ได้รับใบอนุญาตในปี ค.ศ. 1823 แต่ไม่นานผู้ว่าการคนที่สอง จอห์น ครอว์เฟิร์ด ก็กลับมาอนุญาตอีกครั้ง การพนันแพร่หลายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรและการค้า แต่ก็มาพร้อมกับเงาแห่งปัญหาทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตายและอาชญากรรมที่พุ่งสูงขึ้น

 

ท้ายที่สุด รัฐบาลสิงคโปร์ในปี ค.ศ. 1827 ตัดสินว่าการพนันเป็นสิ่งผิดศีลธรรม นำไปสู่การปิดบ่อนการพนันที่ได้รับใบอนุญาตทั้งหมดในปี ค.ศ. 1829 แต่แทนที่จะแก้ปัญหา การกระทำนี้กลับผลักดันการพนันลงสู่ใต้ดิน นำไปสู่การคอร์รัปชันของตำรวจและการแพร่หลายของบ่อนผิดกฎหมาย

 

ยุคแห่งการปฏิเสธ "มีได้แต่ต้องข้ามศพผมไปก่อน" - "Over my dead body” (ค.ศ. 1959 - 2004)

 

หลังจากสิงคโปร์เป็นรัฐบาลปกครองตนเองในปี ค.ศ. 1959 รัฐบาลพรรค PAP ได้กวาดล้างบ่อนผิดกฎหมายจำนวนมาก และประกาศใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามการพนัน

 

ตลอดหลายทศวรรษต่อมา แนวคิดในการสร้างกาสิโนยังคงถูกปัดตกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอสร้างกาสิโนนอกชายฝั่งบนเกาะปูเลาเซจาฮัต (ค.ศ. 1965) หรือบนเซ็นโตซ่า (ค.ศ. 1967) ล้วนถูกรัฐบาลปฏิเสธด้วยเหตุผลด้านศีลธรรมและผลกระทบทางสังคมที่ไม่พึงปรารถนา

 

คำกล่าวที่เป็นตำนานของนายกรัฐมนตรี ลี กวน ยู ในปี ค.ศ. 1970 เมื่อเจ้าพ่อกาสิโนฮ่องกง สแตนลีย์ โฮ เสนอสร้างกาสิโนในสิงคโปร์ ลี กวน ยู กล่าววาทะสั้นๆ ว่า "มีได้แต่ต้องข้ามศพผมไปก่อน" ("Over my dead body”) ตอกย้ำจุดยืนที่ชัดเจนของผู้นำประเทศ เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี โก๊ะ จ๊ก ตง ที่ตอกย้ำในช่วงเศรษฐกิจถดถอยในปี ค.ศ. 1985 ว่า "ตราบใดที่ผมยังเป็นนายกรัฐมนตรี สิงคโปร์จะไม่มีกาสิโน"

 

นายกรัฐมนตรี ลี กวน ยู ของสิงคโปร์

 

การตัดสินใจครั้งใหญ่ เมื่อเศรษฐกิจขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง (ค.ศ. 2001 - 2005)

จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี ค.ศ. 2001 หลังจากเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง คณะกรรมการทบทวนเศรษฐกิจได้เสนอให้พิจารณาการทำให้กาสิโนถูกกฎหมายเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลี เซียน ลุง ยังคงปฏิเสธ โดยชี้ว่า "อันตรายทางสังคมมีน้ำหนักมากกว่ารายได้ที่อาจเกิดขึ้น"

 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทัศนคติเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2004 เมื่อรัฐมนตรี จอร์จ เยาว์ กล่าวเป็นนัยถึงความเป็นไปได้ที่จะมีกาสิโนในโครงการรีสอร์ทครบวงจร (Integrated Resorts - IRs) และในงาน National Day Rally ปีเดียวกัน โดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ลี เซียน ลุง ในเวลานั้นก็เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเน้นย้ำถึงคำถามที่สำคัญว่า

 

"สิงคโปร์สามารถมีกาสิโนและควบคุมปัญหาทางสังคมได้หรือไม่"

 

สุดท้าย ในปี ค.ศ. 2005 นายกรัฐมนตรีลีได้ประกาศการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ สิงคโปร์จะดำเนินการทำให้กาสิโนใน IRs ถูกกฎหมาย เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยเขากล่าวว่า

 

"ผมแบกรับความรับผิดชอบสูงสุดสำหรับการตัดสินใจนี้" การตัดสินใจนี้จุดประกายให้เกิดการปรึกษาหารือสาธารณะเป็นเวลา 6 เดือน และการอภิปรายอย่างเข้มข้นในรัฐสภา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างลึกซึ้งในสังคมเกี่ยวกับปัญหาการพนันและอาชญากรรมที่อาจตามมา

 

กรอบการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง เดิมพันเพื่อความรับผิดชอบ

สิงคโปร์ตระหนักดีถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับกาสิโน ดังนั้นจึงได้สร้างกรอบการกำกับดูแลที่เข้มงวดเพื่อลดผลกระทบทางสังคมให้น้อยที่สุด โดยมีมาตรการสำคัญดังนี้:

  • พระราชบัญญัติควบคุมกาสิโน (Casino Control Act): กำหนดให้มีกาสิโนเพียงสองแห่ง กำหนดค่าธรรมเนียมแรกเข้าสำหรับชาวสิงคโปร์และผู้พำนักถาวร (ปัจจุบัน 150 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อวัน หรือ 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปี) ห้ามผู้ที่อายุต่ำกว่า 21 ปีเข้า และมีการบังคับใช้คำสั่งห้ามเข้าและจำกัดการเข้าชม
  • สภาแห่งชาติว่าด้วยปัญหาการพนัน (National Council on Problem Gaming - NCPG): ทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ให้ความรู้สาธารณะ และดำเนินการโปรแกรมการสนับสนุนสำหรับผู้มีปัญหาการพนัน
  • มาตรการต่อต้านการฟอกเงิน: กาสิโนเป็นธุรกิจที่มีเงินสดหมุนเวียนสูง จึงมีมาตรการตรวจสอบลูกค้า (KYC) อย่างเข้มงวด และบังคับใช้การรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย (STR) เพื่อป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน

 

นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังมีระบบ "คำสั่งห้ามเข้า" ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องกลุ่มเปราะบาง:

  • การห้ามเข้าด้วยตนเอง: บุคคลสามารถยื่นขอห้ามเข้ากาสิโนด้วยตนเอง
  • การห้ามเข้าโดยครอบครัว: สมาชิกในครอบครัวสามารถยื่นขอห้ามบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการพนันเข้ากาสิโนได้
  • การห้ามเข้าโดยบุคคลที่สาม: NCPG สามารถสั่งห้ามบุคคลที่มีปัญหาทางการเงินหรือมีประวัติเครดิตไม่ดีเข้ากาสิโนได้
  • การห้ามเข้าตามกฎหมาย: บุคคลบางกลุ่ม เช่น ผู้ล้มละลาย หรือผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือทางสังคม ก็จะถูกห้ามเข้าโดยอัตโนมัติ

 

คำถามต่อมาคือ “ผลลัพธ์และบทเรียน” กาสิโนคุ้มค่าหรือไม่?

สิงคโปร์เปิดรีสอร์ทครบวงจร (IRs) แห่งแรกในปี ค.ศ. 2010 คือ Resorts World Sentosa (RWS) ที่เริ่มเปิดให้บริการเป็นเฟสๆ ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2010 โดยเริ่มจากโรงแรมสี่แห่งก่อน ส่วนกาสิโนของ RWS เริ่มเปิดทำการในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2010 ซึ่งตรงกับวันตรุษจีนพอดี

 

หลังจากนั้นไม่นาน Marina Bay Sands (MBS) ก็เปิดดำเนินการเฟสแรกในวันที่ 27 เมษายน 2010 และจัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 มิถุนายน 2010

 

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งด้านตัวเลข

  • การท่องเที่ยวเฟื่องฟู: จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 20% ทันทีหลังเปิด IRs ในปี ค.ศ. 2010 และเกือบครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปี ค.ศ. 2023 ได้เยี่ยมชม IRs
  • เศรษฐกิจเติบโต: IRs มีส่วนสนับสนุน GDP ของสิงคโปร์อย่างสม่ำเสมอระหว่าง 1-2% และสร้างรายได้ภาษีมหาศาล
  • การสร้างงาน: ภายในปี ค.ศ. 2012 IRs สร้างงานโดยตรงกว่า 22,000 ตำแหน่ง และมีผลกระทบต่อการจ้างงานโดยรวมกว่า 40,000 ตำแหน่ง

 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่มาพร้อมกับกาสิโนก็ปรากฏขึ้น

ทั้งอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับกาสิโน การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมโรงรับจำนำ และการคุกคามจากการปล่อยเงินกู้นอกระบบ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ จากการสำรวจของ NCPG ในปี ค.ศ. 2011 สัดส่วนของนักพนันที่มีปัญหาในหมู่ชาวสิงคโปร์กลับลดลงจาก 2.1% ในปี ค.ศ. 2005 เหลือ 1.4% ซึ่งบ่งชี้ว่ามาตรการป้องกันที่เข้มงวดได้ผล

 

สิงคโปร์ยังคงปรับปรุงกรอบการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มค่าธรรมเนียมแรกเข้าในปี ค.ศ. 2019 และการทำให้กระบวนการขอคำสั่งห้ามเข้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่านระบบออนไลน์ โดยค่าธรรมเนียมรายวัน เพิ่มขึ้นจาก 100 ดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น 150 ดอลลาร์สิงคโปร์ และค่าธรรมเนียมรายปี เพิ่มขึ้นจาก 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์

 

ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันทางสังคมที่สิงคโปร์ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบเชิงลบของการพนันต่อสังคม

 

ปัจจุบัน Marina Bay Sands (MBS) และ Resorts World Santos (RWS) ยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสิงคโปร์ และมีแผนขยายโครงการในอนาคตเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก

 

ประสบการณ์ของสิงคโปร์แสดงให้เห็นว่า การจะเปิดกาสิโนนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของเม็ดเงิน แต่เป็นการเดิมพันที่ต้องมาพร้อมกับการวางแผนที่รอบคอบ มาตรการป้องกันที่แข็งแกร่ง การบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่ลดละ และความมุ่งมั่นต่อความรับผิดชอบทางสังคม การที่สิงคโปร์สามารถสร้างความมั่งคั่งพร้อมกับควบคุมอันตรายทางสังคมได้นั้น นับเป็นบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับประเทศอื่นๆ ที่กำลังพิจารณาเส้นทางนี้

 

สำหรับประเทศไทยที่กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาเรื่องนี้ ประสบการณ์ของสิงคโปร์อาจเป็นเหมือนแผนที่ที่ช่วยนำทางว่า การพนันถูกกฎหมายไม่ได้มีแต่ด้านมืด หากได้รับการจัดการอย่างถูกวิธีและมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง

 

อ้างอิงข้อมูล : IAG (Inside Asian Gaming)

ข่าวล่าสุด

ภูมิใจไทยงัดข้อเพื่อไทย เก้าอี้มหาดไทยเดือด รัฐบาลสั่นคลอน!