“เลสลีย์ ดัมเบรลล์” พลังในสี ผู้หญิง และการเดินทางระหว่างสองโลก
ความเชื่อมโยงของไทยและออสเตรเลียผ่านงานศิลปะและการเดินทางของศิลปินหญิงที่โดดเด่น ทรงพลัง และสุดเท่ กับบทบาทการเคลื่อนไหวในโลกศิลปะในยุคที่ผู้หญิงไร้ตัวตน มีเพียงงานที่สำแดงเอกลักษณ์และยืนหยัดเหนือชาย!
ถ้าคุณพบกับเลสลีย์ ดัมเบรลล์ ในกรุงเทพฯ ในงานสักงานหนึ่งหรือในที่สาธารณะสักแห่ง การปรากฎตัวที่เรียบง่ายจนดูธรรมดาเกินไปของเธอ ไม่อาจทำให้คุณรู้สึกได้ว่านี่คือศิลปินหญิงที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของออสเตรเลีย จนกว่าคุณจะได้เห็น “ผลงานศิลปะ” ที่มีสีสันและรูปทรง ไปจนถึงลวดลายที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นและทำให้คุณตื่นตะลึงด้วยความชื่นชม
สีสันของเลสเลย์คือสิ่งที่ดีที่สุดและสำแดงตัวตนอันทรงพลังอยู่ภายในความเรียบง่าย ทุกองค์ประกอบอยู่ในนั้น ทั้งหมด... แน่นอนว่างานศิลปะของเธอไม่มีเพศสภาพมากำกับ เป็นผลงานจิตรกรรมเชิงเรขาคณิตแบบนามธรรม (Abstract Art) แต่ผลงานของเลสลีย์มีการเดินทาง มีอารมณ์และความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่สำคัญมันสะท้อนประวัติศาสตร์และเรื่องราวศิลปินหญิงในยุค 60s และ 70s ที่ผู้หญิงยังถูกมองเป็นเพียงสับเซตในวงการศิลปะที่กว้างใหญ่และดูเหมือนจะไร้ขอบเขตในเวลานั้น
“ความโดดเดี่ยวและการไม่เปิดเผยตัวดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิตของศิลปินหญิง และยังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของตัวตนอีก แม้ผู้หญิงจะบอกได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า ศิลปะเป็นอาชีพหลักของเธอ แต่เมื่อเธอออกจากสตูดิโอและรับบทบาทอื่นๆ อีกมากมายที่คาดหวังจากพวกเธอ ก็มักจะถูกตัดสินได้ง่ายๆ ว่า เป็นเพียงแม่บ้านที่วาดรูป แทนที่จะเป็นจิตรกรที่ทำความสะอาดที่อยู่อาศัยของเธอเอง” เลสลีย์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในปี 1976
เลสลีย์ให้สัมภาษณ์กับโพสต์ทูเดย์ในโอกาสที่สายการบินแควนตัส (QANTAS) ร่วมกับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี เปิดตัวแคมเปญ ‘One Journey, Two Worlds: The Best of Australia and New Zealand with QANTAS’ ที่มีเป้าหมายในการสร้างประสบการณ์การเดินทางที่
มิสซิสเลสลีย์ ดัมเบรลล์ (Mrs. Lesley Dumbrell) ศิลปินออสเตรเลีย ที่มีชื่อเสียงในผลงานศิลปะนามธรรม โดดเด่นในงานเชิงเรขาคณิตและการใช้สีที่ทรงพลัง สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างศิลปะและการเดินทาง น้อยคนจะรู้ว่า เมืองไทยเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเธอ เพราะเธออาศัยอยู่ในประเทศไทยนานถึง 30 ปีแล้ว ความรู้สึกถึงทั้งสองประเทศจึงเป็นความผูกพันอย่างแนบแน่นและความรู้สึกทั้งหมดล้วนสะท้อนผ่านออกมาทางผลงานของศิลปินที่ยังทำงานหนักบนพื้นที่ของตัวเองและเป็นไปอย่างต่อเนื่องในวัย 84
เลสลีย์ผู้ที่บอกเราด้วยความร่าเริงว่า เธอยังวาดรูปทุกๆ วัน และไม่มีงานอดิเรกอื่นใดนอกจากวาดภาพ
“ความจริงก็คือ การที่ฉันมาถึงจุดที่ฉันอยู่ในเวลานี้ได้ ฉันต้องยืนหยัดอย่างมั่นคง เพราะอย่างที่เห็น ฉันเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย และพวกผู้ชายน่ะ ถ้าผู้หญิงไม่เก่งเลย พวกเขาก็ไม่สนใจหรอก แต่ถ้าผู้หญิงเก่งขึ้นมาเมื่อไร พวกเขาก็จะเริ่มพูดจาใส่ร้ายคุณว่า งานของคุณมันไร้สาระ และอะไรก็ตามเถอะ ทั้งที่พวกเขาเองก็ไม่เคยทำอะไรที่ดีเท่านี้ หรือไปได้ไกลเท่าฉันเลย หลายคนยังเป็นแบบนั้นอยู่จนถึงทุกวันนี้” เลสลีย์เล่าอย่างติดตลก
“ศิลปะและการเดินทางเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น” เธอกล่าว “ในออสเตรเลีย ภูมิประเทศไม่ได้เป็นเพียงฉากหลัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสรรค์” จากผืนทรายสีแดงของอูลูรู แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ไปจนถึงฉากศิลปะร่วมสมัยในเมลเบิร์นและโฮบาร์ต ธรรมชาติและเมืองของออสเตรเลียได้กลายเป็นแหล่งแรงบันดาลใจของศิลปินมาอย่างยาวนาน
และนับตั้งแต่เธอย้ายมาใช้ชีวิตที่ประเทศไทยในปี 2534 ดัมเบรลล์พบว่า ศิลปะของออสเตรเลียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะในเรื่องการใช้สี มิติของภาพ และการตีความธรรมชาติในแบบเฉพาะตัวของแต่ละวัฒนธรรม “นักท่องเที่ยวชาวไทยที่รักในศิลปะ จะได้แรงบันดาลใจไม่รู้จบจากภูมิทัศน์และความคิดสร้างสรรค์ในออสเตรเลีย” เธอกล่าวเสริม
ในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกศิลปะนามธรรมที่มีบทบาทโดดเด่นในยุค 1970s ซึ่งวงการศิลปะยังถูกครอบงำโดยผู้ชาย เธอมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวของศิลปินหญิงในออสเตรเลีย ผลงานของเธอได้รับการจัดแสดงในนิทรรศการระดับนานาชาติ รวมถึงที่นิวยอร์ก และได้รับการยอมรับจากภัณฑารักษ์และนักวิจารณ์ศิลปะชื่อดัง โดย Rachel Kent จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งออสเตรเลีย (Museum of Contemporary Art) เคยกล่าวถึงเธอว่าเป็น “หนึ่งในศิลปินศิลปะนามธรรมที่ทรงพลังที่สุดของออสเตรเลีย”
“ฉันรู้สึกต่อภูมิทัศน์มากๆ โดยเฉพาะเมือง เพราะนั่นคือที่ที่ฉันอาศัยอยู่ นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้จัก ฉันเริ่มตระหนักถึงแสงและองค์ประกอบอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้คน (และ) … สนใจในการพยายามทำให้โลกเรียบง่ายขึ้น เป็นรูปร่างและวาดภาพที่เรียบง่าย” เลสลีย์เคยกล่าวถึงผลงานตัวเองและความเชื่อมโยงกับเมืองในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง
สภาพแวดล้อมคือแรงบันดาลใจในการทำงานของดัมเบรลล์
อย่างที่คุณเห็นในงานนามธรรม มันคือความรู้สึกของบางสิ่งบางอย่าง...คุณสามารถวาดวันที่ลมแรง ความเคลื่อนไหวของทะเล แรงบันดาลใจของฉันส่วนใหญ่มาจากธรรมชาติไม่ได้มาจากคน มันก็คือความรู้สึกที่ออกมาผ่านสี
กล่าวได้ว่ามันคือความรู้สึกของคุณที่สะท้อนความเป็นออสเตรเลียออกมา
แน่นอน รวมถึงที่นี่ (ประเทศไทย) ด้วย ฉันหลงรักต้นไม้ และ พืชพันธุ์ในประเทศไทยมาก ฉันสามารถมองเห็นต้นไม้ต่างๆ ได้จากสตูดิโอที่นี่ รวมไปถึงความรู้สึก แสงเงา และเส้นสีที่เกิดจากลวดลายหรือรูปร่างของต้นไม้ใบไม้ต่างๆ เมื่อยามต้องแสงอาทิตย์ เช่น ต้นมะพร้าว..
แล้วสีระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลียล่ะมีความแตกต่างกันไหม
สำหรับฉันมันค่อนข้างเหมือนกันมาก อาจเป็นเพราะฉันอาศัยอยู่ในชนบทของออสเตรเลียไม่ใช่เมือง ฉันได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกเป็นชีวิตที่ฉันรัก ที่แตกต่างกันคือพวกต้นไม้ที่มีรูปร่างต่างกัน ฉันหมายถึงแต่ละประเทศก็มีรูปแบบที่งดงามของตัวเอง
“พลังของสีและการเคลื่อนไหวของสายตา” บทบาทของศิลปินกับการเคลื่อนไหว
ผลงานของดัมเบรลล์ได้รับการจัดแสดงในนิทรรศการทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการจัดแสดงเดี่ยวครั้งแรกที่ Bonython Gallery ในซิดนีย์ปี พ.ศ. 2512 และนิทรรศการสำคัญ "Thrum" ที่ Art Gallery of New South Wales ในปี พ.ศ. 2567 เป็นการรวบรวมผลงานของเธอตลอดห้าทศวรรษ
Thrum แปลว่า เสียงฮัมที่เป็นจังหวะต่อเนื่องกัน อาจคือ คำจำกัดความสั้นๆ แต่ทำให้เราเข้าใจงานอันเป็นนามธรรมของเลสลีย์มากขึ้น สะท้อนถึง พลัง สัมผัส และจังหวะที่ต่อเนื่องของศิลปินในกระบวนการสร้างงานศิลปะ และอาจเป็นคำที่สื่อถึงความต่อเนื่องของเส้น สี และการเคลื่อนไหวในงานของดัมเบรลล์ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกทางสายตาและอารมณ์
เลสลีย์พูดถึง THRUM และผลงานที่รวบรวมไว้ตลอด 50 ปีให้เราฟัง
สิ่งหนึ่งที่ฉันภูมิใจในหนังสือเล่มนี้ก็คือ มันพูดถึงความจริงข้อนี้ ว่าใช่ ฉันเป็นผู้หญิง และนี่คืองานที่สะท้อนความรู้สึกของฉันในฐานะผู้หญิง เป็นการตีความความรู้สึกของฉันต่อสิ่งแวดล้อม และฉันไม่คิดว่าผู้ชายจะสร้างงานแบบนี้ได้นะ มันเป็นผลงานที่มีความเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน และ (ความเคลื่อนไหวและการแสดงออกของผู้หญิง) มันเกิดขึ้นได้ทุกที่ในโลก ใช่ นี่คือสิ่งปกติของโลกที่เราเห็น
ตอนคุณโตมาในโลกศิลปะมันเป็นยังไง?
ฉันไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนั้นเท่าไร เพราะมันจะดูเหมือนว่าฉันกำลังบ่น แล้วคุณก็เป็นผู้หญิงอีก เหมือนคุณมานั่งคร่ำครวญอีกแล้ว “ฉันไม่ใช่นักสตรีนิยม” คุณเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม? ฉันหมายถึง ฉันไม่อยากต้องไปแข่งกับใคร มันไม่ใช่เรื่องของการตะโกนว่า “ดูฉันสิ ฉันดังนะ!” แล้วพวกผู้ชายก็จะไม่สนใจคุณเลย มันไม่เวิร์กหรอก
แต่ฉันก็แค่พูดตรง ๆ ซื่อ ๆ กับคุณ บอกความจริงแท้ทั้งหมดให้ฟัง ว่าโลกศิลปะมันก็โหดร้ายไม่แพ้โลกไหน ๆ เลย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ชายในวงการจะประพฤติตัวยังไง
แล้วคุณก็ยืนหยัด? ใช่ ฉันยืนหยัด เพื่อตัวเอง ฉันทำอย่างนั้น
แน่นอนเธอยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งและไม่ธรรมดาเลย
มากกว่านั้น ดัมเบรลล์เป็นผู้บุกเบิกในการเคลื่อนไหวศิลปะสตรีในออสเตรเลียช่วงทศวรรษ 1970 เธอร่วมก่อตั้ง Women's Art Register ที่เมลเบิร์น ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลและฐานข้อมูลจดทะเบียนศิลปินหญิงแห่งแรก ๆ ในออสเตรเลีย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวม รักษา และเผยแพร่ ผลงานของศิลปินหญิงที่มักถูกละเลยจากพิพิธภัณฑ์และสถาบันศิลปะในยุคนั้น นำไปสู่การรับรู้คุณค่าของศิลปินหญิง และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการศึกษาศิลปะในมุมมองของผู้หญิง
เธอเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวอันเป็นจุดเริ่มต้นในช่วงเวลานั้นว่า
ตอนฉันยังอายุน้อยอยู่ ตอนนั้นฉันก็พอมีคอนเนคชั่นอยู่บ้าง มีผู้หญิงบางคนที่สนับสนุนฉัน แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้รับเชิญให้เข้าเป็นคณะกรรมการในหน่วยงานหนึ่งที่ชื่อว่า Visual Art Board ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับชาติ ทำหน้าที่ส่งเสริมงานศิลปะในหลายรูปแบบ ฉันเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นผู้หญิง ประมาณหนึ่งในสามเป็นผู้หญิง สองในสามเป็นผู้ชาย แล้วก็มีการประชุมครั้งหนึ่ง เรากำลังพูดถึงเรื่องที่มีบุคคลสำคัญจากลอนดอนจะเดินทางมาที่ออสเตรเลีย คนพวกนี้ถือว่าได้รับการยกย่องนับถือมาก พวกเขาจะมาดูงานของศิลปินออสเตรเลีย และเราควรดูแลพวกเขาให้ดี
มีการถกเถียงกันในที่ประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางคนพูดว่า “แน่นอน เราควรดูแลพวกเขาอย่างดี ต้องให้พวกเขาได้ดูรายชื่อศิลปินที่อยู่ในทะเบียน” “แล้วพวกเขาก็จะสามารถเลือกศิลปินที่สนใจได้เอง” แล้วเมื่อการประชุมจบ ฉันก็หันไปพูดกับคนที่นั่งข้าง ๆ ว่า..."ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องทะเบียนศิลปินแบบนี้เลยนะ มันน่าทึ่งมาก ฉันเดาว่าทะเบียนนี้มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายใช่ไหม?" คำตอบที่ได้กลับมาทันทีคือ "โอ้ ไม่เลย มันมีแต่ผู้ชายเท่านั้น"
พอไปดูดี ๆ มีศิลปินผู้หญิงแค่คนเดียวเท่านั้นที่พอจะอยู่ในทะเบียนนี้ได้ และนี่คือการโปรโมตศิลปะออสเตรเลียสู่สายตาชาวโลกเชียวนะ — ทั้งหมดเป็นผู้ชายล้วน ๆ
แล้วคุณทำยังไงตอนนั้น?
ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และที่นั่นก็มีแกลเลอรีอยู่ด้วย ฉันสนิทกับเธอมาก เรามีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน หลังจากประชุมจบ ฉันก็รีบโทรไปหาเธอทันที แล้วบอกว่า "คิฟฟี่ เราต้องคุยกัน" เรานัดกันดื่มกาแฟ แล้วฉันก็เล่าให้เธอฟังทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอก็บอกว่า "โอเค เดี๋ยวเราจัดการเรื่องนี้กัน" เราจึงร่วมกันก่อตั้ง “ขบวนการศิลปะของผู้หญิง” (women's art movement) เราเชิญศิลปินหญิงทุกคนมารวมตัวกัน และประกาศให้รู้ว่านี่คือพื้นที่สำหรับผู้หญิง มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราเคยทำเลยจริง ๆ เพราะทันใดนั้นก็มีศิลปินหญิงจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น
และสิ่งที่น่ารักมาก ๆ คือ บรรดาผู้หญิงรุ่นใหญ่ อายุประมาณ 55–60 ปี ที่เคยทำงานศิลปะมาก่อน พวกเธอมานั่งเงียบ ๆ คอยดูว่าเราทำอะไรกัน และให้การสนับสนุนโดยไม่ก้าวก่าย บางครั้งเราจะเห็นพวกเธอแอบกระซิบกับกันว่า "ดูสิ ตอนนี้พวกเขาทำได้แล้ว ดีจังเลยใช่ไหม"
เราจึงสร้างชุมชนศิลปินหญิงขึ้นมาได้อย่างแข็งแรง ทุกเดือนเราจะมีคนสำคัญคนหนึ่งมานำเสนอผลงาน และเชิญทุกคนมาร่วม หลังจบงานก็จะมีกาแฟ พูดคุยกันต่อและเราก็กลายเป็นกลุ่มศิลปินที่มั่นใจในตัวเอง และยังได้สร้างมิตรภาพในโลกศิลปะ
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจริง ๆ และมันยกระดับศิลปินหญิงเหล่านี้ขึ้นมาอย่างแท้จริง มันเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายอย่าง เพราะถ้าคุณปล่อยให้ผู้ชายบริหารจัดการทั้งหมด มันจะไม่เกิดขึ้นเลย
และแม้ว่าผลงานของเลสลีย์จะไม่เป็น "ศิลปะแนวเฟมินิสต์" ในเชิงสัญลักษณ์หรือรูปภาพโดยตรง (เช่น ร่างกายเพศหญิง ฯลฯ) แต่เธอกลับใช้ศิลปะนามธรรมเชิงเรขาคณิต เป็นเครื่องมือเพื่อท้าทายมาตรฐานความงามของชายเป็นใหญ่ในวงการศิลปะ และการที่ศิลปินหญิงกล้าทำงานในแนวทางที่จริงจังเทียบเท่าศิลปินชาย และไม่อธิบายผลงานผ่านอารมณ์หรือเรื่องส่วนตัว ก็นับเป็นแนวทางที่ต่อต้านกรอบแบบเดิม ๆ ที่ชัดเจนที่สุด
เธอแสดงให้เห็นว่า ศิลปะของผู้หญิงสามารถเป็นเชิงทฤษฎี เป็นนามธรรม และทรงพลังได้เช่นเดียวกับศิลปะของผู้ชาย
และด้วยบทบาทการเป็นทั้งศิลปิน อาจารย์ และนักเคลื่อนไหว เลสลีย์มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นใหม่ และสนับสนุนความหลากหลายทางเพศและแนวคิดในศิลปะ เธอผลักดันให้เกิดการมองศิลปะของผู้หญิงในฐานะ “ศิลปะ” ไม่ใช่แค่ “ของผู้หญิง”
เธอยังมีส่วนในการจัดนิทรรศการที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปินหญิงนำเสนอผลงานในระดับชาติ และมีตัวตนในประวัติศาสตร์ศิลปะ
ปัจจุบันผลงานของดัมเบรลล์ถูกเก็บรักษาในคอลเล็กชันถาวรของพิพิธภัณฑ์ศิลปะสำคัญๆ ในออสเตรเลีย เช่น National Gallery of Australia, National Gallery of Victoria, Art Gallery of New South Wales และ Queensland Art Gallery
ขอทิ้งท้ายด้วยคำกล่าวของแพทริก แม็กคอกีย์ นักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักวิชาการชาวออสเตรเลียเชื้อสายไอริช ผู้เคยกล่าวถึงผลงานของเลสลีย์ไว้ว่า
"การเติบโตของสไตล์ของเธอจากผู้สร้างและนักออกแบบที่อดทนสู่ความสำเร็จของจิตรกรสี ในงานศิลปะของออสเตรเลีย เธอมีส่วนร่วม มุ่งมั่น มีจุดมุ่งหมายในงานศิลปะของเธอในช่วงเวลาเดียวกันกับที่จิตรกรนามธรรมในยุค 60 กำลังประสบกับสิ่งที่ตรงกันข้าม เธอให้ความรู้สึกที่ชัดเจนถึงการปลดปล่อยจินตนาการในผลงาน ความรู้สึกถึงงานที่กำลังก้าวไปข้างหน้า ซึ่งจิตรกรนามธรรมคนอื่นๆ ในยุคเดียวกันไม่กี่คนจะเทียบได้" (McCaughey 1980)
สิทธิพิเศษที่ KTC World Travel Service
รับส่วนลด 1,000 บาท/ท่าน เมื่อจองตั๋วเครื่องบินสายการบิน QANTAS ในเส้นทางออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
F.I.T. Package ออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์ ตั๋วเครื่องบิน Qantas Airways พร้อมที่พัก 4 คืน เพียง 40,000 บาท/ท่าน จำกัด 10 คู่ 20 ท่าน
สมาชิกสามารถใช้สิทธิ์การจองได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 และเดินทางตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ KTC World Travel Service โทร 02 123 5050 หรือ LINE @KTCWORLD
สิทธิพิเศษสำหรับจองตั๋วเครื่องบินเส้นทางออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ กับสายการบินแควนตัส ผ่านทราเวลโลก้า (Traveloka) รับโค๊ดส่วนลด 1,000 บาทต่อ 1 การจอง สามารถใช้สิทธิ์การจองได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 หรือจองตั๋วเครื่องบินผ่านตัวแทนที่ร่วมรายการ พร้อมแบ่งชำระ ได้แก่ เคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส (KTC World Travel Service) / มาแจ๊สติก ทราเวล (Majestic Travel ) / ควอลิตี้ เอ็กซ์เพรส (Quality Express) / วันเดอร์ฟูลแพ็กเกจ (Wonderfulpackage) / บริษัท เวิลด์ เอ็กซ์พลอเรอร์ (World Explorer) และทราเวลโลก้า (Traveloka)


