ลงทุนไตรมาสแรกพุ่ง 4.3 แสนล้าน บีโอไอชี้ไทยยังแกร่งดึงต่างชาติ
บีโอไอเผยยอดขอส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรกปี 2568 พุ่งกว่า 4.3 แสนล้าน ต่างชาติแห่ลงทุน นำโดยฮ่องกง จีน และสิงคโปร์ สะท้อนศักยภาพไทยยังแข็งแกร่ง
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เผยตัวเลขการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยมีจำนวนโครงการทั้งสิ้น 822 โครงการ คิดเป็นมูลค่าลงทุนรวม 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของประเทศไทย ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังมีความผันผวนจากสงครามการค้าและความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศมหาอำนาจ
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจสูงสุด ได้แก่
- ดิจิทัล 94,735 ล้านบาท
- อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 87,814 ล้านบาท
- ยานยนต์และชิ้นส่วน 23,499 ล้านบาท
- พลังงานหมุนเวียน 17,517 ล้านบาท
- ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 13,942 ล้านบาท
- เกษตรและแปรรูปอาหาร 12,719 ล้านบาท
การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีจำนวนโครงการ 618 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 267,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62 โดยฮ่องกงเป็นนักลงทุนอันดับ 1 (135,159 ล้านบาท) รองลงมาได้แก่ จีนและสิงคโปร์
พื้นที่ที่มีการลงทุนมากที่สุด คือ ภาคตะวันออก (EEC) คิดเป็นมูลค่ารวม 246,555 ล้านบาท จาก 444 โครงการ
นอกจากนี้ ยังมีการขอรับส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart & Sustainable Industry) เพิ่มขึ้นเช่นกัน รวม 82 โครงการ มูลค่า 5,548 ล้านบาท โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และใช้พลังงานสะอาด
ในไตรมาสแรก บีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว 776 โครงการ มูลค่ารวม 582,225 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 60,000 ตำแหน่ง ใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 190,000 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มมูลค่าการส่งออกกว่า 390,000 ล้านบาทต่อปี
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า แม้การลงทุนจะยังเติบโตดี แต่ประเทศไทยต้องเตรียมปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ เพื่อรองรับทิศทางเศรษฐกิจยุคใหม่ อาทิ การสร้างงานคุณภาพสูง การถ่ายทอดเทคโนโลยี การร่วมทุนกับท้องถิ่น และการใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น รวมถึงปกป้องอุตสาหกรรมที่ยังเปราะบาง เพื่อให้ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนที่ให้ประโยชน์กับประเทศและประชาชนได้อย่างยั่งยืน


