เวิร์คช็อปรับมือฤดูฝนปี67ป้องกันน้ำท่วมมั่นใจอยุธยารอดอุทกภัย
"ภูมิธรรม เวชยชัย"กำชับวงถกเวิร์คช็อปป้องกันน้ำท่วมปี67 ต้องทำงานมีเอกภาพ หลังไทยมีแนวโน้มฝนตกหนักหลายพื้นที่จากภาวะ"ลานีญา" "จักรพงษ์ แสงมณี"มั่นใจแนวกำแพงกั้น เมืองโบราณ บ้านเรือนประชาชน 5นิคมอุตฯรอดน้ำท่วม
เมื่อวันที่ 10ก.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุตั้งศูนย์ส่วนหน้า และสร้างความเข็มแข็ง เครือช่ายภาคประชาชน ตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมี ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ 24 หน่วยงานนักวิชาการ คณะกรรมการลุ่มน้ำ ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม และเครือข่ายภาคประชาชน เข้าร่วม รวมกว่า 200 คน ได้ติดตามประเมินสภาพอากาศปีนี้ พบว่า ประเทศไทย มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะลานีญา ส่งผลให้มีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) กล่าวในการประชุมกำชับให้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในปีนี้อย่างมีเอกภาพ เพื่อใช้ในการวางแผนการเตรียมการรับมือล่วงหน้า ส่วนช่วงวันที่ 16-17 กรกฎาคม 2567 ที่ได้มีการคาดการณ์ว่าอาจมีปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออก จึงได้มอบหมายให้ สทนช.นำรูปแบบการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุไปเตรียมการตั้งศูนย์ส่วนหน้าเพื่อรับมือสถานการณ์ ณ จังหวัดระยอง หรือพื้นที่ใกล้เคียงด้วย
นายจักรพงษ์ แสงมณีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับ"โพสต์ทูเดย์"หลังลงพื้นที่ตรวจสอบแนวกำแพงป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ วัดไชยวัฒนาราม อำเภอพระนครศรีอยุธยา และที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อำเภอบางปะอิน ว่า อยุธยาถือเป็นพื้นที่ลุ่ม การบริหารจัดการน้ำต้องดำเนินการ3ส่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือ ส่วนแรกโบราณสถาน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและมรดกโลก ส่วนที่2คือเขตเศรษฐกิจ นิคมอุตสาหกรรม5แห่งและโรงงานนอกเขตอุตสาหกรรม และส่วนที่3 ที่อยู่อาศัยของประชาชน พบว่า ได้มีการอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วมแล้ว โดยเขื่อนคันกันน้ำที่มีความสูง 1.7 เมตร ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถป้องกันน้ำท่วมได้แน่นอน
ส่วนที่นิคมอุตสาหกรรม เรามีการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เมื่อปี2554 ที่เกิดความเสียหาย หลายแสนล้าน บาท ต่อในในปี2555 รัฐบาลมีการออก Soft Loan เพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้แก่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจนประสบความสำเร็จ สามารถป้องกันน้ำได้สูงมาก ทำภาคเอกชนมั่นใจเพราะมีระบบป้องกันน้ำท่วมอย่างดีทั้งภายในและภายนอก ทำให้เกิดความสบายใจได้ว่า นิคมอุตสาหกรรมมีปลอดภัย อย่างไรก็ตามยังมีอุปสรรคที่ต้องแก้ไขอยู่บ้างในบางจุดเช่น เส้นทางระบายต้องทำระบายน้ำออกไปได้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยประสานกระทรวงคมนาคมเพิ่มความสูงของถนนบางเส้นทาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง
"การประชุมวันนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน โดยศูนย์ส่วนหน้าจะทำหน้าขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาทั้งระบบช่วยบรรเทาทุกข์ของประชาชน การให้ข้อมูลล่วงหน้า3วัน จากกรมอุตุนิยมวิทยาเพื่อประมวลผลและแจ้งมูลไปยังประชาชน การสร้างระบบเตือนภัย การจัดการน้ำ แล้วแจ้งเตือนประชาชนได้ทราบล่วงหน้าด้วยข้อมูลที่แน่นอนจะทำให้เราป้องกันน้ำท่วมได้"นายจักรพงษ์ กล่าว
ด้านดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญ อีกทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมรวมกันมากกว่า 2,600 โรงงาน ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 5 แห่ง รวมจำนวน 595 โรงงานและตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรมอีกกว่า 2,000 โรงงาน
นอกจากนี้ เป็นพื้นที่การเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ มีการเพาะปลูกพืชในเขตชลประทานกว่า 9.6 ล้านไร่ โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าวมีมากกว่า 8 ล้านไร่ หากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมจะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก
ดังนั้น การวางแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจะต้องครอบคลุมและรัดกุมในทุกๆ ด้าน ซึ่งการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุก่อนที่จะเผชิญกับสถานการณ์จริง จึงมีความจำเป็นและสำคัญ เพื่อให้สามารถติดตาม ประเมินผลการบริหารจัดการและคาดการณ์สถานการณ์น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถแจ้งเตือนได้อย่างตรงจุดและให้ความช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีเอกภาพและทันต่อสถานการณ์.