"ออนิกซ์" ลงทุนเกือบ 5 พันล้าน รีโนเวต-เปิดใหม่ 4 โรงแรมไทย
ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ลงทุนเกือบ 5 พันล้านบาท เดินหน้าเปิด อมารี-โอโซ่-ชามา ทั้งในและต่างประเทศอีก 9 แห่ง ภายในปี 2025 ตอบสนองการฟื้นตัวท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 กว่า 9,400 ล้าน มองท่องเที่ยวไทยดีขึ้นแต่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น
“ยุทธชัย จรณะจิตต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป หนึ่งในบริษัทภายใต้กลุ่มบริษัทอิตัลไทย ประกาศแผนการลงทุนช่วงปี 2568 ตั้งงบลงทุนรวม 4,800 ล้านบาท เพื่อรีโนเวตและก่อสร้างโรงแรมใหม่ 4 แห่ง
- รีโนเวต โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต มูลค่าการลงทุน 300 ล้านบาท
- สร้าง โรงแรมโอโซ่ กรุงเทพฯ จำนวน 250 ห้อง (ที่ดินผืนเดียวกับโรงแรมอมารี กรุงเทพฯ ย่านประตูน้ำ) มูลค่าการลงทุน 800 ล้านบาท
- รีโนเวต โรงแรมอมารี ภูเก็ต (หาดป่าตอง) มูลค่าการลงทุน 1,000-1,500 ล้านบาท
- สร้าง โรงแรม EQ Phuket พูลวิลล่าจำนวน 150 ห้อง บนที่ดินขนาด 32 ไร่หน้าหาดกะตะ มูลค่าการลงทุน 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้โครงการที่น่าสนใจคือโรงแรม “EQ Phuket” เพราะจะเป็นโครงการร่วมลงทุน (JV) กับกลุ่มทุนจากมาเลเซียผู้เป็นเจ้าของโรงแรมหรู “EQ Kuala Lumpur” ถือเป็นโครงการแรกที่ออนิกซ์อยู่ในฐานะเจ้าของร่วม และไม่ได้ใช้เชนโรงแรมของตนเองในการบริหาร แต่เลือกที่จะใช้เชนโรงแรมของบริษัทอื่น
“โครงการนี้เป็นที่ดินของเราเอง นำมาทดลองโมเดลธุรกิจที่มีผู้ร่วมลงทุนและเป็นผู้บริหารโรงแรมให้เรา ซึ่งทำให้เราประหยัดงบลงทุนและลดความเสี่ยง” นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าว
“เราเลือกกลุ่ม EQ เพราะเขามีสถิติที่ดีในการบริหาร EQ Kuala Lumpur และเจ้าของยังคงบริหารเอง ทำเอง และมีแพสชั่นที่จะมาเริ่มลงทุนในประเทศไทย ซึ่งตรงกับสิ่งที่เราอยากทำเพราะเจ้าของโรงแรมใหญ่ๆบางรายแค่มาทำ แต่ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดเท่ากับกลุ่ม EQ ”
สำหรับเครือออนิกซ์เป็นเครือโรงแรมที่มีทั้งการลงทุนเอง และรับจ้างบริหารให้กับเจ้าของ โดยมีแบรนด์โรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ 4 แบรนด์เพื่อตอบสนองลูกค้า ได้แก่ อมารี (Amari), โอโซ่ (OZO), ชามา (Shama) และ โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ (Oriental Residence)
ปัจจุบันมีโรงแรมในเครือทั้งหมด 40 แห่ง สัดส่วน 53% อยู่ในประเทศไทย ส่วนที่เหลือ 47% อยู่ในต่างประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย จีน ฮ่องกง ลาว มัลดีฟส์
" ปี 2567 ถือเป็นเป็นปีที่ดีมากของการท่องเที่ยว ออนิกซ์คาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 9,400 ล้านบาท เติบโต 19% จากปีก่อน และทำกำไรสุทธิมากกว่า 1,800 ล้านบาท เติบโต 28% จากปีก่อน โดยแบรนด์ 'อมารี' (Amari) และ 'โอโซ่' (OZO) เป็นแบรนด์สำคัญในการขับเคลื่อนรายได้ ในขณะที่แบรนด์ 'ชามา' (Shama) มีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องจากดีมานด์ในตลาดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพของออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานกว่า 5 ทศวรรษ" ยุทธชัยเสริม
ส่วนโรงแรมที่กำลังจะก่อสร้างเสร็จและเปิดบริการภายในปี 2568 ของเครือออนิกซ์มีทั้งหมด 9 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศมาเลเซีย 3 แห่ง จีนและฮ่องกง 2 แห่ง ไทย 2 แห่ง ลาว 1 แห่ง และศรีลังกา 1 แห่ง ตัวอย่างโรงแรมที่จะเปิดบริการเร็วๆ นี้
- โอโซ่ เมดินี ประเทศมาเลเซีย – โรงแรมแบรนด์โอโซ่แห่งที่ 5 ของเครือ เตรียมเปิดไตรมาส 2/2567
- อมารี โคลัมโบ ประเทศศรีลังกา – อาคารสูง 27 ชั้น ห้องพัก 167 ห้อง เตรียมเปิดไตรมาส 4/2567
- อมารี เวียงจันทน์ ประเทศลาว – โรงแรมแห่งที่ 2 ของเครือในลาว ห้องพัก 248 ห้อง เตรียมเปิดไตรมาส 4/2567
- อมารี เดอะไทด์ บางแสน ประเทศไทย – โรงแรมตรงข้ามหาดบางแสน ห้องพัก 154 ห้อง เตรียมเปิดภายในปี 2568
มองท่องเที่ยวไทยดีขึ้นแต่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น
"ในไตรมาสแรกที่้ผ่านมาเป็นตลาดที่ดีมาก เพราะสายการบินครอบคลุมเกินกว่า 60% หลายสายการบินกลับมาแล้ว ปีที่ (2566) แล้ว จีนเข้ามาอันดับ 1 ส่วนปีนี้ มาเลยเซียอันดับ 1 ไทยอันดับ 2 แล้วก็รัสเซีย เราจะเห็นมากๆก็ที่ภูเก็ต และสมุย เข้ามาทีอยู่กันนานๆ และใช่จ่ายกันหนัก"
"ซึ่งเราก็เห็นเทรนด์ตรงนี้ว่ามันมี 3 ตลาดที่กลับมาแล้วในไตรมาสแรก เราเชื่อว่าตลาดอื่นๆอย่างตะวันออกกลาง , เกาหลี , ญี่ปุ่น หรือแม้แต่จากยุโรปอย่างอังกฤษก็จะเริ่มมาแล้ว เพราะปลายๆไตรมาสแรกก็เจอเกาหลี ญี่ปุ่นมาเยอะแล้ว"
"แต่ถึงแม้ว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดี แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังทำให้ต้องระมัดระวังการลงทุน มีการชะลอเวลาออกไปบ้าง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยสูง หนี้สาธารณะสูง" นายยุทธชัยเสริม
ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ตามนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เสริมว่า
"โครงการนี้น่าจะเป็น ‘การกระตุ้นระยะสั้น’ ให้กับเศรษฐกิจไทยได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ แต่มองระยะยาว ผลจากโครงการจะเป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศมากกว่า"
“เศรษฐกิจไทยปีนี้แย่มาก จีดีพีอาจจะไม่ถึง 2% พอดีในเครือเรามีธุรกิจก่อสร้างด้วย ทำให้เราเห็นว่าตลาดแย่มาก จากงบเบิกจ่ายภาครัฐที่ล่าช้าไป 6 เดือน ซ้ำเติมจากช่วงโควิด-19 ที่แย่มาแล้ว 3 ปี แล้วยังมีสงครามทำให้ต้นทุนการก่อสร้างทุกอย่างพุ่งขึ้นมาอีก ผมว่ารวมๆ แล้วเศรษฐกิจไทยจะยังท้าทายไปแบบนี้อีก 2-3 ปี” นายยุทธชัยกล่าว


