posttoday

เตรียมประชุมผู้ถือหุ้นซื้อที่ดิน “ตระกูลชินวัตร” 19 เม.ย. นี้

18 เมษายน 2566

“เอสซี แอสเสท” จ่อขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้น 19 เม.ย. นี้ เข้าซื้อที่ดินจาก “ตระกูลชินวัตร” จำนวน 22 แปลง มูลค่า 1.23 พันล้าน เพื่อลงทุนคอนโดมิเนียม บนถนนลาดหญ้า รอรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ส่วนต่อขยาย

นับได้ว่าเป็น บิ๊กดีลที่ยิ่งใหญ่แห่งปีของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ระหว่าง ตระกูลชินวัตร กับ SC หรือ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจะมีการถ่ายโอน ซื้อ - ขาย ที่ดิน ย่านลาดหญ้า คลองสาน ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ใต้) เป็นเงินถึง 1.2 พันล้านบาท ผ่าน ที่ดินมากถึง 22 แปลง ในคราวเดียวกัน

โดยพิกัดของที่ดินดังกล่าว ตั้งอยู่บนถนนลาดหญ้า แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร รวมมูลการซื้อขายครั้งนี้ มากกว่า 1.2 พันล้านบาท โดยจะมีการแบ่งชำระค่าที่ดินเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ 124 ล้านบาท จะชำระในวันที่เข้าทำสัญญา และส่วนที่สองคือ 1,115.23 ล้านบาท จะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประเมิน ราคาซื้อขายที่ตารางวาละ 6.4 แสนบาท

สำหรับวัตถุประสงค์ ระบุชัดเจนว่า เพื่อใช้เป็นที่ดินหลักของที่ดินรวมเพื่อที่จะใช้ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขาย ทั้งนี้เมื่อประเมินศักยภาพของที่ดิน ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เนื่องจาก เป็นทำเล ศูนย์กลางการขยายตัวและเติบโตของเมืองจากฝั่งพระนครมายังอีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา มีการคมนาคมที่สะดวก ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีทอง ลถานีคลองสานเพียง 600 เมตร รวมถึงการเริ่มพัฒนาโครงการสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2566 ได้มีมติอนุมัติการเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน และให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 19 เม.ย. นี้  เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ บริษัท เอสซี แอสเสท โฟร์ จำกัด (SC FOUR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SC เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวจำนวน 22 แปลง พื้นที่รวมประมาณ 4 ไร่ 3 งาน

ทั้งนี้ SC FOUR เป็นบริษัทย่อยของบริษัท จะเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน จำนวน 22 แปลง ที่ดินพื้นที่รวมประมาณ 4 ไร่ 3 งาน 36.3 ตารางวา หรือ 1,936.3 ตารางวา บนถนนลาดหญ้า แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นที่ดินหลักของที่ดินรวมเพื่อที่จะใช้ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขาย  

โดยแบ่งชำระค่าที่ดินเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ 124 ล้านบาท จะชำระในวันที่เข้าทำสัญญา และส่วนที่สองคือ 1,115.23 ล้านบาท จะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน รวมทั้งสองส่วนเป็นจำนวนเงิน 1,239.23 ล้านบาท (ราคาซื้อขายตารางวาละ 640,000 บาท)  

ทั้งนี้ RENDE (ผู้จะขาย) จะเป็นผู้รับภาระค่าธรรมเนียมการโอน ภาษีและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งที่ดินทั้ง 22 แปลงนั้น ตั้งอยู่บนถนนลาดหญ้า ถือเป็นทําเลที่ดี มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขยายตัว และเติบโตของเมืองจากฝั่งพระนครมายังอีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีการคมนาคมที่สะดวก ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีคลองสานเพียง 600 เมตร

รวมถึง “การเริ่มพัฒนาโครงการสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้” ดังนั้น การเข้าซื้อที่ดินดังกล่าว “ช่วยลดความเสี่ยง” จากการไม่มีที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพสำหรับการพัฒนาโครงการในเขตเมืองในอนาคต จึงเป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของบริษัท

และการพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายประเภทโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม เป็นธุรกิจที่บริษัทมีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ ทำให้บริษัทสามารถนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินการโครงการได้อย่างเหมาะสม และคาดว่าจะทำให้บริษัทมี “รายได้และกำไร” เพิ่มขึ้นในอนาคต

ขณะที่ 17 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา “เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น” รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า SC FOUR ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SC มีแผนจะเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้งหมด 22 แปลง พื้นที่รวม 4 ไร่ 3 งาน 36.3 ตารางวา บนถนนลาดหญ้า จาก บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (RENDE) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวโยงกันกับบริษัทเอสซีฯ มูลค่ารวม 1,239.23 ล้านบาท เพื่อนำที่ดินมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ตามแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัท

โดย SC FOUR มีฐานะเป็นบริษัทย่อย ของบริษัท SC ซึ่ง “ครอบครัวชินวัตร” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 60.29%  ประกอบด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 28.81% , น.ส.พินทองทา ชินวัตร 27.89% , คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ 2.78% , นายพานทองแท้ ชินวัตร 0.33%) ในบริษัทเอสซี แอสเสทฯ และเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกิจการ

ขณะเดียวกัน “ครอบครัวชินวัตร” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน RENDE ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 100% ของบริษัทประกอบกับ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการของ SC และดำรงตำแหน่งกรรมการของ SC FOUR และเป็นสามีของ นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ซึ่งถือหุ้นใหญ่ของบริษัท SC จำนวน 1,176,915,495 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 27.89%  และถือหุ้นใน RENDE จำนวน138,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565)

ดังนั้น การเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกันดังกล่าว ต้องขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ของบริษัท SC โดยต้องได้รับคะแนนเสียงอนุมัติไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย

นอกจากนี้ SC ต้องจัดให้มีที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของรายการและความเป็นธรรมของราคาและเงื่อนไขของรายการต่อผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติเข้าทำรายการ

สำหรับแผนธุรกิจ ของ SC  ปี 2566 นั้น พบว่ามีการตั้งเป้าโตต่อเนื่องด้วยยอดขาย 30,000 ล้านบาท เติบโต 23% โดยแบ่งเป็น โครงการเพื่อขายแนวราบ 65% และโครงการเพื่อขายแนวสูง 35% และสร้างรายได้รวม 25,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังวางงบประมาณในการลงทุนไว้ก้อนใหญ่ราว 25,000 ล้านบาท 

โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุน 80% ในการพัฒนาโครงการเพื่อขาย รวมถึงการซื้อที่ดิน และ 20% ในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ โดยตั้งเป้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ปีนี้รวม 25 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ  22 โครงการ รวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท ครอบคลุมทุกระดับราคา 2.5-มากกว่า 150 ล้านบาท 

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68