posttoday

เปิดประเทศ สัญญาณบวกหนุนนักลงทุนต่างชาติซื้อกิจการอสังหาริมทรัพย์เพิ่ม

03 มีนาคม 2566

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลายในทิศทางที่ดี รวมถึงการเปิดประเทศ เป็นผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัว และยังส่งผลให้ทิศทางของภาคอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2566 มีการขยายตัวไปในทิศทางที่ดีกว่าปี 2565 ที่ผ่านมา เพราะปัจจัยบวกหลายอย่างที่ปรับตัวดีขึ้น

โดยการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องจักรสำคัญของประเทศไทยกลับมาเดินหน้าแบบช้าๆ ปี 2565 เป็นปีแรกในรอบ 2 – 3 ปีที่ผ่านมาที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 11 ล้านคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ที่ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นกลุ่มหลักเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี โดยในจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะมีนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งนอกเหนือจากจีน เช่น อินเดีย อาหรับ หรือ ยุโรป ที่เข้ามาซื้ออส้งหาริมทรัพย์ในไทย โดยมีความต้องการในการลงทุนหรือซื้อกิจการจะเลือกในทำเลที่เป็นแลนด์มาร์คเช่น พัทยา หัวหิน หัวเมืองท่องเที่ยว เป็นต้น

 

โดยประเภทกิจการหรือธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจในการเข้ามาซื้อหรือหาช่องทางการร่วมทุน คือ ธุรกิจหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เพราะประเทศไทยยังมีโอกาสในการขยายตัวในธุรกิจท่องเที่ยวอีกมาก อีกทั้งในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เจอปัญหาโควิด-19 ทำให้หลายกิจการมีปัญหา ขาดกระแสเงินสด และเกิดปัญหาเรื่องของเงินทุนหมุนเวียน และเงินที่ต้องชำระกับสถาบันการเงิน

 

ทั้งนี้ นาย สุรเชษฐ​ กองชีพnกรรมการผู้จัดการ บริษัท​ พร็อพเพอร์ตี้​ ดีเอ็นเอ​ จำกัด กล่าวว่า ในปัจจุบัน กลุ่มของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่างๆ ทั้งในรูปแบบของการเริ่มลงทุนใหม่ตั้งแต่ที่ดินเปล่ามีมานานมากแล้ว แต่ในช่วงหลังๆ มีกลุ่มที่เข้ามาเพื่อร่วมทุนกับทางผู้ประกอบการไทย หรือเข้ามาเพื่อซื้อกิจการไทย ซึ่งในกลุ่มหลังซึ่งเข้ามาเพื่อซื้อกิจการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่างๆ อาจจะมีมากขึ้น เพราะสถานการณ์โควิด-19 ที่มีผลต่อการประกอบธุรกิจหลายประเภทในประเทศไทย และในทุกประเทศทั่วโลก

 

สำหรับกลุ่มของนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเข้ามาซื้อกิจการหรือลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์บางประเภทที่ประสบปัญหาในช่วงที่ผ่านมามีหลากลหายเชื้อชาติ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงหรือมีอยู่ไม่กี่สัญชาติ และอาจจะไม่สอดคล้องกับการเข้ามาลงทุนผ่านช่องทางการขออนุญาตส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ซึ่งจะเป็นการลงทุนในด้านอุตสาหกรรมมากกว่า รวมไปถึงอาจจะไม่สอดคล้องกับกับการเข้ามาลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียมของประเทศไทย ทั้งในรูปแบบของนิติบุคคล และแบบบุคคลทั่วไป

 

เพราะในตลาดคอนโดมิเนียมประเทศไทยนั้น นักลงทุนหรือบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นนี่ชัดเจนเลยว่ามาเป็นอันดับที่ 1 ด้วยการลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามูลค่ารวมกันหลายแสนล้านบาท แต่ถ้าในกลุ่มของบุคคลทั่วไปที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยกลับเป็นคนจากประเทศจีนที่เข้ามาซื้อมากกว่าคนจากประเทศอื่นๆ แบบเทียบกันไม่ได้ หรือกว่า 50% ของคอนโดมิเนียมที่ซื้อและโอนกรรมสิทธิ์โดยชาวต่างชาตินั้นเป็นคนจีน ในขณะที่ญี่ปุ่นกลับน้อยกว่ามาก ซึ่งนักลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียมก็แตกต่างจากตลาดอื่นๆ เช่นกัน

 

โดยประเภทกิจการหรือธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจในการเข้ามาซื้อหรือหาช่องทางการร่วมทุน คือ ธุรกิจหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เพราะประเทศไทยยังมีโอกาสในการขยายตัวในธุรกิจท่องเที่ยวอีกมาก อีกทั้งในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เจอปัญหาโควิด-19 ทำให้หลายกิจการมีปัญหา ขาดกระแสเงินสด และเกิดปัญหาเรื่องของเงินทุนหมุนเวียน และเงินที่ต้องชำระกับสถาบันการเงิน

 

ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นเหมือนการเปิดช่องให้กับคนที่มีเงินทุนเข้ามาเลือกซื้อหรือเลือกที่จะร่วมลงทุนโดยการให้เงินส่วนหนึ่งเพื่อให้เกิดกระแสเงินสดหมุนเวียน เพื่อนำไปชำระหนี้สิน หรือซื้อกิจการเลยก็ได้ ประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่พวกเขาสนใจ คือ โรงแรม รีสอร์ต ที่พักรูปแบบและระดับต่างๆ รวมไปถึงกิจการหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในประเทศไทยหรือมีการลงทุนในประเทศไทยแล้ว เพราะสะดวกในการซื้อกิจการในรูปแบบของนิติบุคคลไทย

 

กลุ่มของนักลงทุนที่เห็นได้ชัดเจนเลย คือ นักลงทุนจากประเทศจีนที่เข้าซื้อหรือพยามยามหาช่องทางในการเข้าซื้อกิจการหลายแห่งในมืองท่องเที่ยวที่คนจีนนิยม เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ ในกรุงเทพมหานครอาจจะเป็นในรูปบบของการซื้ออสังหาริมทรัพย์มากกว่ากิจการ แต่ถ้ามีโอกาสพวกเขาก็สนใจซื้อเช่นเดียวกัน นักลงทุนจากรัสเซียนี่เป็นกลุ่มของนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยนานแล้ว อาจจะลดน้อยลงไปบ้างในช่วงที่รัสเซียมีปัญหาเรื่องจองค่าเงินรูเบิล

 

แต่คนที่อยู่ในประเทศไทยก็ยังคงเดินหน้าขยายกิจการต่อเนื่อง รัสเซียอาจจะซื้อหรือสนใจซื้อกิจการรวมไปถึงลงทุนใหม่ในเมืองท่องเที่ยวชายทะเลเป็นหลักทั้งในพัทยาซึ่งมีมานานแล้ว ภูเก็ตเริ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมไปถึงเมืองท่องเที่ยวชายทะเลอื่นๆ ที่อาจจะเริ่มเห็นบ้าง กลุ่มของนักลงทุนจากลุ่มประเทศจากสแกนดิเนเวีย เช่น นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ค กลุ่มนี้ในอดีตมีการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งในบางแสน พัทยา ระยอง ห้วยยาง เกาะลันตา และภูเก็ต

 

แต่เริ่มลดน้อยลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มของนักลงทุนจากตะวันออกกลางที่สนใจในธุรกิจโรงแรมในประเทศมานานแล้ว โดยมีทั้งกลุ่มที่ต้องการโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากประเทศแถบตะวันออกกลางโดยเฉพาะซึ่งมีวัฒนธรรมการกิน ศาสนาที่ค่อนข้างแตกต่าง และกลุ่มที่เข้ามาซื้อโรงแรมเพื่อเป็นโรงแรมที่รองรับผู้เข้าพักทั่วๆ ไป

 

กลุ่มที่เริ่มเห็นมากขึ้น คือ กลุ่มของนักลงทุนอินเดียที่เห็นได้มากขึ้นตามกระแสการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวอินเดียที่เข้ามาในประเทศไทย แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะมีการลงทุนในโรงแรมหลายแห่งกับคนไทยเชื้อสายอินเดียอยู่แล้วในพัทยาใต้ ซึ่งเป็นโซนที่มีโรงแรมที่พักที่รองรับนักท่องเที่ยวอินเดียโดยเฉพาะ รวมไปถึงร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวท่องเที่ยวยามราตรีบางแห่งที่รองรับนักท่องเที่ยวอินเดียที่มีความเฉพาะในหลายๆ เรื่อง

 

และกลุ่มของนักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ ก็จะไม่ค่อยอยู่รวมกับนักท่องเที่ยวอินเดียด้วย แต่พอเจอสถานการณ์โควิด-19 หลายกิจการเกิดปัญหาและอาจจะมีการฟื้นตัวช้าเพราะกลุ่มลูกค้าหลักมีเพียงชาวอินเดียที่เพิ่งจะมีมากขึ้นในปีที่ผ่านมาซึ่งเข้ามาประเทศไทยมากถึงเกือบ 1 ล้านคนในปี 2565

 

รวมไปถึงมีการเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมและโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงเดือนมกราคม - กันยายน ปี 2565 อีก 172 ยูนิตจากที่แทบไม่เคยมีมาก่อนเลย แสดงให้เห็นถึงการเข้ามาของกลุ่มของนักลงทุนและชาวอินเดียที่มากขึ้น โดยส่วนมากกลุ่มของนักลงทุนอินเดียยังคงสนใจในตลาดพัทยาใต้หรือพัทยาสาย 3 โดยสนใจทั้งโรงแรมในระดับที่ไม่เกิน 3 ดาวมูลค่าการลงทุนไม่สูงมาก ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืน เนื่องจากกลุ่มของนักท่องเที่ยวอินเดียอาจจะค่อนข้างเป็นกลุ่มที่มีความเฉพาะในหลายๆ เรื่อง เพียงแต่จำนวน และมูลค่าการลงทุนในทุกๆ มิติยังไม่มาก

 

แต่ที่น่าสนใจ คือ กลุ่มของคนมีฐานะในอินเดียที่ยังคงเข้ามาจัดพิธีแต่งงานในประเทศไทยต่อเนื่อง โดยมากันครั้งละหลายสิบคนหรือมากกว่า 100 คนขึ้นไปถึงหลายร้อยคน และอยู่กันนานหลายวัน เรียกได้ว่าปิดทั้งโรงแรมเพื่อจัดงานแต่งงาน ซึ่งนักลงทุนอินเดียอาจจะมองในเรื่องนี้ก็เป็นไปได้

 

ด้านนางสาวสมสกุล  หลิมศุทธพรรณ  รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ จากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า หลังเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ทำให้มีชาวต่างชาติกลับมาสนใจเช่าที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2566 มีลูกค้าให้ความสนใจเช่าที่อยู่อาศัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาในเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2565 ในปีที่ผ่านมา มีอุปสงค์การเช่าในพื้นที่กรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นถึง 55%  

 

โดยมีลูกค้าต่างชาติที่สนใจดังนี้ ตามลำดับ 1.United States 2.Singapore  3.Hong Kong  4.Norway 5.Japan  6.United Kingdom  7.India 8.South Korea 9.Australia  10.Combodia สำหรับในตลาดต่างจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวพบว่าเพิ่มขึ้นกว่า 400%  พื้นที่ที่ได้รับความสนใจมากสุดคือภูเก็ต และหัวหินตามลำดับ  สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่สนใจตามลำดับ ได้แก่ 1. Russia  2. United States  3. United Kingdom  4.Swedan 5.Australia 6. Germany 7.Singapore 8. South Korea 9.Netherland  10. Canada

 

อย่างไรก็ตามจากแรงกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มกลับมา จะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ และจะทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ในแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นด้วยอย่างแน่นอน