พล ตัณฑเสถียร กับโฮมออฟฟิศที่ไม่เคยเหงา
ถ้าพูดถึงเจ้าของรายการทำอาหารที่มีมาดสุขุมที่สุดในประเทศไทย ชื่อและใบหน้าของ “พล ตัณฑเสถียร”
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน
ถ้าพูดถึงเจ้าของรายการทำอาหารที่มีมาดสุขุมที่สุดในประเทศไทย ชื่อและใบหน้าของ “พล ตัณฑเสถียร” เจ้าของและพิธีกรรายการพลพรรคนักปรุงที่ออกอากาศทุกวันพุธพฤหัสบดี ทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 10.00 น. และทาง www.pholfoodmafia.com ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเป็นแน่แท้ ว่ากันว่ารายการนี้มักใช้มุมห้องครัวภายในบ้านเป็นสถานที่ถ่ายทำรายการ และก็มีคนพูดถึงกันมากว่าบ้านหลังนี้ยังมีมุมสวยๆ ดีๆ อีกเพียบ ว่าแล้วอย่ารอช้า เรามาเยี่ยมเยือนบ้านพร้อมพูดคุยกับชายหนุ่มมาดสุขุมคนนี้กันเลยดีกว่า
“จุดเริ่มต้นมาจากการที่แม่ซื้อที่ดินตรงนี้เป็นของขวัญ ซึ่งคุณแม่ก็ซื้อที่ดินให้ลูกทุกคนตามคาแรกเตอร์ เดิมเป็นเด็กสยาม บ้านเกิดเป็นหอศิลป์ ณ ปัจจุบันนี้ ซึ่งบ้านถูกเวนคืนโดยจุฬา เอาเป็นว่าตั้งแต่เกิดและเติบโตมาก็จะเห็นความปลี่ยนแปลงย่านสยาม มาบุญครอง มาโดยตลอด”
พลเผยว่า ณ ตอนนั้นตอนที่คุณแม่ซื้อที่ดินที่สุขุมวิทไว้ให้ เขาคิดมาเสมอว่าสุขุมวิทเป็นของประหลาด “คงเป็นเพราะสุขุมวิทในตอนนั้นมีตรอกซอกซอยยุบยับไปหมด”
หลังจากที่คุณแม่ซื้อที่ดินแห่งนี้ไว้ให้ พอกาลเวลาผ่านไป พลรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นและอยากออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวของตัวเอง เขาเลยนำเงินที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงานมาสร้างบ้านหลังนี้
“บอกก่อนเลยว่าบ้านหลังนี้มีคนช่วยออกแบบ ช่วยตกแต่งและช่วยรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นคนที่เรารู้จักเป็นคนที่เราเคารพนับถือมาร่วมด้วยช่วยกัน ซึ่งก็สร้างมาได้ 56 แล้ว ด้วยเป้าหมายอยากให้บ้านหลังนี้เป็นโฮมออฟฟิศ เพราะเป็นคนขี้เหงา ไม่อยากให้บ้านเงียบ เคยนั่งคิดและจินตนาการว่า ถ้าตอนกลางคืนเกิดไส้ติ่งแตกจะทำยังไง จะแบกตัวเองขึ้นรถยังไง เวลาโจรขึ้นบ้านเราจะทำยังไง เราก็กลัวไปหมด คงด้วยนิสัยดราม่า เลยทำให้เพ้อเจ้อ คิดและจินตนาการไปไกล (หัวเราะ)”
ด้วยความรู้สึกที่ว่าบ้านต้องมีคนอยู่ เลยจุดประกายให้พลคิดที่จะเอาสถานที่ทำงานมาผนวกไว้กับบ้านให้เป็นโฮมออฟฟิศ โดยให้แยกกันคนละส่วน
“บ้านอยู่ตึกหนึ่ง ออฟฟิศอยู่อีกตึกหนึ่ง แต่ก็มีจุดเชื่อมกัน แต่ไปๆ มาๆ บ้านก็กลายเป็นออฟฟิศ เป็นจุดที่ใช้ถ่ายรายการไปได้ทั่ว มีทั้งจุดห้องครัวและห้องทำงาน ซึ่งในห้องทำงานที่เห็นเป็นสวน เมื่อก่อนเป็นที่วาดรูป แต่ไปๆ มาๆ ไม่มีเวลาวาด ก็เลยเอาต้นไม้มาตบแต่งจัดวางไว้ซะ”
พลเล่าติดตลกไว้ว่า ก่อนหน้านี้เขาทาสีบ้านเป็นสีเขียว แต่ผ่านไปสักระยะ จึงรู้ตัวว่าตัวเองตัดสินใจผิด “ที่ตัดสินใจผิด เพราะเราดูสีจากตารางเล็กๆ แต่พอมาทาผนังบานใหญ่ รู้สึกมันเคี้ยวเขียว ก็เลยเปลี่ยนสีให้มันเป็นโมโนโทน มันดูสบายตาดี เหมาะกับของแต่งบ้าน ที่เราสามารถหามาจัดวางได้หลากหลายกว่า”
เมื่อมองไปรอบๆ จากภายในบ้านจะเห็นว่า นอกจากรอบบ้านจะมีต้นไม้สีเขียว ในห้องทำงานจะมีชั้นวางหนังสือที่เด่นสะดุดตา ยังมีเทียนและเครื่องครัวที่ถือได้ว่าโดดเด่นสุด
“ด้วยความเป็นคนชอบเทียน ที่บ้านเลยมีเทียนและเชิงเทียนเยอะ เพราะเป็นคนชอบแสงของเทียน ชอบจุดเทียน โดยไม่เปิดไฟ ก็จุดเทียนเต็มบ้าน เทียนธรรมดานี่แหละครับ มีกลิ่นบ้างก็ได้ แต่ไม่ได้ตั้งใจต้องเป็นเทียนกลิ่น ส่วนเครื่องครัวที่ดูเยอะ เพราะด้วยความทำรายการพลพรรคนักปรุง ก็จะต้องมีเครื่องครัวมาใช้ในรายการ เมื่อใช้แล้วก็เก็บไม่เอาไปใช้ต่อ เพราะซื้อมาชุดเดียว ซึ่งก็ไม่ได้ซื้อมาแพงนะ ส่วนใหญ่ก็ซื้อตามจตุจักรนี่แหละ คิดว่าทำรายการมากขึ้นๆ ก็คงจะเอาเครื่องครัวที่ไม่ได้ใช้เอาไปให้คนอื่น เพื่อจะได้ซื้อใหม่มาใช้ในรายการและมีพื้นที่เก็บได้”
สำหรับความพิเศษในบ้านหลังนี้ พลเผยว่าความพิเศษอยู่ที่พื้นที่การใช้งาน “อย่างมุมครัว มักใช้ถ่ายรายการและทำอาหารเช้า มุมโต๊ะกินข้าวก็เอาไว้ใช้นั่งทำงาน แต่ห้องทำงานนี่อยู่บ่อยสุด ส่วนใหญ่มาขลุกอยู่ในห้องนี้ตอนกลางคืน ส่วนห้องนอนกับห้องรับแขกไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะห้องนอนเอาไว้ใช้นอน ส่วนห้องรับแขกก็ไม่ค่อยได้มานั่งดูทีวี เพราะไม่ค่อยมีเวลาดู (หัวเราะ)”
เมื่อถามถึงวิธีดูแลบ้าน พลยกหน้าที่นี้ให้แม่บ้านเป็นคนดูแลล้วนๆ “หน้าที่นี้ก็ให้แม่บ้านเป็นคนดูแลแล้วกันเนอะ ให้ความไว้ใจไปเลย แต่ถ้าอยากให้เนี้ยบกว่าแม่บ้านทำก็คงลงมือทำเอง”
พลทิ้งท้ายไว้ว่า บ้านคือปัจจัยสี่ที่เป็นเกราะกำบัง เป็นที่ที่อยู่แล้วปลอดภัย ทั้งสุขภาพทางกายและใจ “บ้านควรมีทางลมที่ไหลผ่านได้สบาย มีน้ำสะอาด มีที่นอนที่สบาย ส่วนทางใจ บ้านคือที่พักพิง เหนื่อยล้ายังไง เราก็ได้มาอยู่บ้าน บ้านเป็นที่ที่เป็นของเราในแง่ของความรู้สึก เป็นพื้นที่ที่เราสะดวกสบายที่สุด มีความเป็นตัวเราที่สุด เป็นที่พิเศษที่เราเชิญคนสนิทมาที่บ้านได้”


