เผยเบื้องหลังปั้นเด็กเกม ม.กรุงเทพ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ C+T
นักศึกษา ม.กรุงเทพเจ๋งรับรางวัลชนะเลิศในรายการแข่งขันนักพัฒนาเกม Gaming Dev BootCamp โดยใช้โปรแกรม Unity เล่นเกมผ่านอุปกณ์ VR
นักศึกษา ม.กรุงเทพเจ๋งรับรางวัลชนะเลิศในรายการแข่งขันนักพัฒนาเกม Gaming Dev BootCamp โดยใช้โปรแกรม Unity เล่นเกมผ่านอุปกณ์ VR
หากจะมองทะลุถึงเบื้องหลังการสร้างชิ้นงานที่มีความโดดเด่นจนได้รับรางวัล เราจะเห็นเส้นทางการเรียนรู้ เห็นความคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการคิดวิเคราะห์ของเจ้าของผลงาน สิ่งเหล่านี้ยังสะท้อนถึงกระบวนการเรียนรู้ใหม่ด้วยแนวคิด Creativity + Technology ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ แนวทางการเรียนรู้ที่จะไม่ทำให้ใครตกยุค
การเรียนการสอนตามแนวคิดนี้เป็นอย่างไร คงต้องดูผลงานเด็กเกม BU กลุ่มนี้ นายสันติภาพ ล้ำเหลือ (โอเว่น) นักศึกษาชั้นปีที่ 2 และนายนรภัทร ลาภชูรัต (อาร์ม) ชั้นปีที่ 3 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม สาขาเกมและสื่อเชิงโต้ตอบ พวกเขาเป็นนักศึกษาที่ผ่านกระบวนการการเรียนรู้ตามแนวคิด C+T มาตั้งแต่เริ่มเข้ามาเรียนปี 1 โดยคณาจารย์ของคณะมีการติดตามนักศึกษาทุกชั้นปีเป็นรายบุคคลเพื่อให้คำแนะนำวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะกับแต่ละคน
ผลงานเกม "Dissolve Space" ในรูปแบบ Si-Fi Shooting Adventure ใช้เทคโนโลยี VR สร้างความตื่นตาได้เสมือนจริง https://www.bu.ac.th/th/bu-magazine/view/460 สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้โจทย์ Thailand 2077 ของทีมโอเว่นและอาร์ม ได้รับรางวัลชนะเลิศในรายการแข่งขันนักพัฒนาเกม Gaming Dev BootCamp โดยใช้โปรแกรม Unity เล่นเกมผ่านอุปกณ์ VR
นายนรภัทร ลาภชูรัต (อาร์ม) เป็นนักศึกษาสาขาเกม ปี 3 ที่ได้รับการบ่มเพาะทักษะการทำงานรอบด้านจากแนวคิด C+T โดยคณาจารย์ของคณะทำหน้าที่เป็น Facilitator เป็นผู้สร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้และให้คำแนะนำ นักศึกษาทุกคนจะได้รับการเจียระไนกรอบความคิดและทักษะในเชิงวิชาการและการลงมือปฏิบัติผ่านการลงมือพัฒนาเกมตั้งแต่เริ่มเรียนปี 1 มหาวิทยาลัยเปิดเวทีแข่งขัน BU Game Jam เพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์การทำงานจริงร่วมกับภาคธุรกิจ พร้อมส่งเสริมการเพิ่มประสบการณ์ภายนอกมหาวิทยาลัย
นายนรภัทร กล่าวว่า ตัวเองมีความถนัดในเรื่องเทคโนโลยีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การมาเรียนที่ ม.กรุงเทพ ยังได้เรียนรู้เทคโนโลยีทันสมัยที่ธุรกิจเกมตัวจริงใช้กัน ทั้งยังเปิดโอกาสให้เรียนข้ามศาสตร์ข้ามคณะกันด้วย เพราะการจะเป็นนักพัฒนาเกมที่มีความสามารถจะต้องเรียนรู้ศาสตร์ในหลายด้าน ทั้งนี้ จุดเด่นของผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศครั้งนี้ คือความคิดสร้างสรรค์ในการวางคอนเซ็ปต์ งานดีไซน์ ทักษะการเล่าเรื่อง และวิธีการนำเสนอผลงานเกมซึ่งมีความโดดเด่นมากที่สุดในทีมที่เข้าแข่งขันทั้งหมด
“ผมมาทราบทีหลังว่าคณะกรรมการตัดสินเห็นตรงกันว่า การเล่าเรื่องของเกมทำออกมาได้ดี การนำเสนอเกมกระชับและเข้าใจง่าย ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าเป็นเพราะนักศึกษาไอทีได้เรียนรู้ในวิชา storytelling ของคณะนิเทศศาสตร์ ทำให้เรารู้จักกระบวนการคิดและการเล่าเรื่องที่ดีมีกลยุทธ์ในการนำเสนองาน” นายนรภัทรกล่าว
นอกจากนั้น ยังมีรายวิชาต่างคณะที่คนไอทีได้เรียนรู้เพิ่มเติม เช่น วิชาการสร้างผู้ประกอบการ ของคณะ BUSEM และวิชาการจัดการของคณะบริหารธุรกิจเป็นต้น การเรียนรู้ในแบบนี้สร้างบัณฑิตให้มีคุณลักษณะเฉพาะตัว คือ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรู้ในการใช้เทคโนโลยี และมีจิตวิญญาณผู้ประกอบการ C+T ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีเรียนใหม่ ใช้การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำงานจริง (Project Based Learning) การรวมทีมทำงานทำให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนทักษะการเรียนรู้ เพราะแต่ละคนมีความถนัดต่างกัน จึงทำให้งานที่ออกมานั้นสมบูรณ์แบบมากขึ้น การทำงานในแต่ละโปรเจกต์จะฝึกผู้เรียนให้สามารถใช้เทคโนโลยีเป็น รู้จักคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เรียนรู้การปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ โดยมีคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่เป็นโค้ชให้คำแนะนำ
สำหรับ แนวคิด C+T ได้ถูกนำไปใช้สร้างกระบวนการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ให้กับทุกคณะของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และเพื่อให้สอดรับกับโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไป ในปีการศึกษา 2563 มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้พัฒนาหลักสูตรใหม่ 4 หลักสูตร ได้แก่ 1.คณะนิเทศศาสตร์ หลักสูตร Creative Content Production and Digital Experience 2. คณะนิเทศศาสตร์ หลักสูตร Broadcasting and Streaming Media Production 3.คณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตร Artificial Intelligence Engineering and Data Science และ4.คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม หลักสูตร Computer Science - Data Science and Cyber Security ทั้งหมดนี้คือการก้าวไปข้างหน้าของมหาวิทยาลัยกรุงเทพด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างคนรุ่นใหม่ให้พร้อมรับมือกับทุกความท้าทายของอาชีพในอนาคตได้อย่างมั่นใจ


