‘รักษ์ลันตา’ ภารกิจพิชิตขยะหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ รวมพลังภาครัฐและเอกชนบริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืน คืนความสมดุลให้ท้องทะเลไทย
ร่วมรณรงค์ไม่ทิ้งขยะพร้อมปลูกจิตสำนึกชาวบ้านเกาะลันตา จ.กระบี่ ส่งผลช่วยลดปริมาณขยะได้มากถึง 80%
โรงแรมพิมาลัย รีสอร์ท แอนด์ สปา ผนึกกำลัง บี.กริม และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา สานต่อโครงการ “รักษ์ลันตา” ร่วมรณรงค์ไม่ทิ้งขยะพร้อมปลูกจิตสำนึกชาวบ้านเกาะลันตา จ.กระบี่ ส่งผลช่วยลดปริมาณขยะได้มากถึง 80% เผยเคล็ดลับ คัดแยกขยะเพื่อการบริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืน
ปริมาณขยะที่พบในท้องทะเลไทยมีปริมาณของถุงพลาสติกมากถึง 11.7% อันเป็นสาเหตุหลักทำให้สัตว์ทะเลหลายชนิดต้องตายไป ทุกภาคส่วนจึงร่วมกันตระหนักและช่วยกันลดปริมาณขยะในทะเล โอกาสนี้โรงแรมพิมาลัย รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดกระบี่ ได้ผนึกกำลังร่วมกับ บี.กริม และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา สานต่อโครงการ “รักษ์ลันตา” เป็นปีที่ 15 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการประชารัฐร่วมใจจัดการขยะทะเลในแหล่งท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ ลต. 1 (เกาะรอก) ณ จังหวัดกระบี่ เมื่อไม่นานมานี้ โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสื่อมวลชนร่วมกิจกรรมอย่าง คับคั่ง
สำหรับพื้นที่เก็บขยะถูกแบ่งออกเป็น 5 จุด อาทิ อ่าวมะขามแยก อ่าวทะเล หาดแหลมสน อ่าวม่านไทร และหาดศาลเจ้า เก็บขยะได้ 9 ประเภท อาทิ ขยะทั่วไป ขยะอันตราย ขวดแก้ว โฟม ทุ่น ขวดพลาสสติก รองเท้า เชือก และอุปกรณ์ประมง ทำการคัดแยกขยะรวมได้ 3,944 กิโลกรัม ซึ่งปริมาณขยะมีแนวโน้มน้อยลงในทุกๆ ปี อันเนื่องมาจากความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน อาทิ ชาวบ้านในชุมชนอำเภอเกาะลันตา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สาธารณสุขอำเภอเกาะลันตา สถานีตำรวจภูธรเกาะลันตา ผู้ประกอบการธุรกิจเรือนำเที่ยว ผู้ประกอบการโรงแรม โรงเรียนในอำเภอเกาะลันตา(เครือข่ายรักษ์ลันตา) หน่วยรักษาความปลอดภัยทางทะเล กองทัพเรือนเกาะลันตาน้อย สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 29 เกาะลันตา ประชาชนจิตอาสา กลุ่มแทรช ฮีโร่ (Trash Hero) และอาสาสมัครพิทักษ์อุทยาน ฯลฯ
อนุรัต ตียาภรณ์ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของโรงแรมพิมาลัยฯ หนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการจัดกิจกรรมเก็บขยะทางทะเล หมู่เกาะลันตาเล่าว่า ในฐานะผู้ประกอบการด้านโรงแรมในหมู่เกาะลันตา เขาได้เข้าร่วมโครงการรักษ์ลันตาเมื่อ 15 ปีก่อน โดยมี บี.กริมให้การสนับสนุนด้านทุนทรัพย์มาโดยตลอด โครงการแรกเริ่มจากการปล่อยปลาการ์ตูนคืนกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อปลูกจิตสำนึกให้คนในเกาะและชาวบ้านไม่ไปจับปลา สู่การบริหารจัดการขยะและการคัดแยกขยะโดยเริ่มจากในโรงแรมพิมาลัยฯ ก่อนเพื่อเป็นโครงการนำร่องแล้วค่อยส่งวิทยากรไปอบรมให้เด็ก ๆ ใน 15 โรงเรียนทั้งชั้นประถมและมัธยม จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยายสู่ชุมชนเพื่อให้ชาวบ้านได้รู้จักการคัดแยกขยะซึ่งเป็นวิธีบริหารจัดการขยะได้ดีที่สุด ทำให้ชุมชนบนเกาะลันตามีการบริหารขยะได้ดีขึ้น
การรณรงค์ให้งดใช้ถุงพลาสติกและการนำขยะบางจำพวกมาใช้ใหม่ ร่วมถึงการรณรงค์ให้มีการเก็บขยะบริเวณชายหาด เพราะปัญหาหลักใหญ่ ๆ คือขยะจากแผ่นดินใหญ่มักถูกพัดลงไปในทะเลมากถึง 90% ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ใต้ท้องทะเลเป็นอย่างมาก เป็นสาเหตุให้สัตว์ทะเลตายไปจากการกินขยะเป็นจำนวนมากในแต่ละปี จากนั้นเริ่มทำโครงการเก็บขยะในทะเลซึ่งได้เอกชนผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวและนักประดาน้ำทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพมาช่วยเก็บขยะใต้ทะเลได้เป็นจำนวนมาก
“เราปลูกจิตสำนึกให้ชาวบ้านตระหนักถึงเรื่องการคัดแยกขยะมาตลอด15 ปี แต่สิ่งที่ช่วยเรามากคือเราทำเรื่องนำขยะไปทำปุ๋ย เราหมุนเวียนขยะ นำอาหารเหลือทิ้ง เศษผลไม้นำสู่โรงหมัก เราจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทุก ๆ ปี เช่น บริเวณอุทยานแห่งชาติเกาะ 5 ปริมาณขยะในทะเลลดลงไปมาก ตอนนี้เราเร่งเก็บขยะก่อนเข้าสู่หน้าท่องเที่ยวซึ่งเราจะเปิดเกาะวันที่ 15 ตุลาคม เพื่อธรรมชาติของเกาะจะได้สวยงาม เตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาปีละ 5,000 คน” อนุรัตบอก
ด้านผู้ใหญ่ใจดีที่ให้การสนับสนุนเรื่องการเก็บขยะมาตลอด 15 ปี ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกลุ่ม บี.กริม กล่าวว่า บี.กริม ได้มองเห็นถึงปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในเชิงลบ โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและปัญหามลภาวะ อันเนื่องมาจากขยะและของเหลือใช้จากภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคการเกษตร โดยขณะนี้ “ปัญหาขยะทะเล” เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยและของโลก ทั้งนี้ ไทยถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 6 ของประเทศที่ทิ้งขยะลงสู่ทะเลมากที่สุดและขยะที่พบในทะเลส่วนใหญ่คือ “ขยะพลาสติก” ซึ่งข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ศึกษาที่มาของขยะทะเลและมาตรการจัดการปัญหาขยะทะเล มากว่า 6 เดือนแล้ว นอกจากนี้ “ขยะอาหาร” ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของประเทศ เพราะประมาณ 60% ของขยะมูลฝอยทั้งหมดมาจากขยะอาหาร ซึ่งหากจัดการแยกขยะอาหารไม่ถูกต้องก็จะส่งผลกระทบต่อการจัดการขยะโดยรวม
ความคิดเห็นสอดคล้องกับ แซฟฟรอน คิดดี (Saffron Kiddy) เจ้าของ Scubafish โรงเรียนสอนดำน้ำ หนึ่งในอาสาสมัครพานักประดาน้ำนานาชาติมาช่วยเก็บขยะใต้ท้องทะเล เล่าว่าการพิชิตขยะใต้ท้องทะเลซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ และต้องใช้งบประมาณในการบริหารจัดการที่ยุ่งยาก นับเป็นความร่วมมือจากผู้ประกอบการผู้เช่าเหมาเรือ และนักประดาน้ำเอกชนที่ส่งนักดำน้ำพร้อมอุปกรณ์มาช่วยเรื่องการเก็บขยะในแต่ละปี ปีหนึ่งมีสมาชิกนักดำน้ำราว 80-100 คน เข้าร่วม
“ความสำคัญของการเก็บขยะใต้น้ำที่เกาะลันตา ขยะใต้ทะเลเป็นปัญหาใหญ่ทำให้ระบบนิเวศน์เกิดผลเสีย สัตว์ทะเลหลายชนิดตายเพราะกินขยะใต้ท้องทะเล ขยะมาจากน้ำมือมนุษย์ เป็นปัญหาต้องช่วยกันรณรงค์อย่างหนัก เพื่อสร้างจิตสำนึกให้คนไม่ให้คนทิ้งขยะ เพราะการทิ้งขยะที่ชายหาดขยะลอยออกไป ยิ่งเก็บยากค่าใช้จ่ายสูงมากจึงจำเป็นต้องมีเอกชนเข้ามาช่วย” เจ้าของโรงเรียนสอนดำน้ำสาว กล่าว
ด้าน อาสัน เสื้อชาติ กำนันตำบลเกาะลันตาใหญ่ บอกเรื่องการบริหารจัดการขยะบนบก เพราะเมื่อขยะที่เก็บได้บนเกาะแล้วต้องทำการคัดแยกขยะให้เป็นหมวดหมู่ เช่น พลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ก็ทำการแยกแล้วนำไปขาย บางส่วนที่เป็นขยะเคมีหรืออื่นๆ ก็ต้องลำเลียงขึ้นฝั่งเพื่อการกำจัดอย่างถูกวิธีต่อไป
“วิธีจัดการขยะของเราคือ ขยะชนิดไหนรีไซเคิลได้ก็ทำ แต่ยังทำไม่ได้ 100% เราจะแยกพลาสติก แยกขวด ข้อจำกัดในการคัดแยกคือเราขาดรถแยกขยะ มีบริษัทขยะมารับซื้อ และเรารณรงค์ไม่ใช้พลาสติกบนเกาะเราพยายามสอนเด็ก ๆ นำกล่องนม พลาสติกมาทำกระเป๋าหรือของใช้อื่นๆ เราช่วยกันรณรงค์มาหลายปีเราคาดหวังว่าปีนี้ทุกคนต้องช่วยลดขยะให้ได้ 80% ทุกภาคส่วน เหลือขยะเพียง 20% เท่านั้นที่เราจะต้องนำไปฝังกลบซึ่งมีพื้นที่ที่จำกัดบนเกาะ”
ปิดท้ายที่ กรรณเกษม มีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา เล่าถึงปริมาณขยะในทะเล ที่เก็บได้ในปีแรก ๆ ที่ทำกิจกรรมเก็บได้มากถึง 5 ตัน และทางอุทยานฯรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวไม่นำขนมขบเคี้ยว งดนำพลาสติก และให้นำแก้วน้ำมาใช้บนเกาะ หากนำขยะมาก็ให้นำกลับคืนสู่ฝั่งด้วย รวมถึงการปลูกฝังให้ชาวบ้านในชุมชนรู้เรื่องการบริหารจัดการขยะโดยวิธีที่ถูกต้อง ซึ่งปัญหาหลักของขยะบนอุทยานแห่งชาติเกาะ
ลันตาคือขวดพลาสติก หลอดพลาสติก โฟม ไฟแช็ค แปรงสีฟัน และคอตตอนบัด ขยะที่อยู่ในทะเลไทยก็ถูกพัดมาจากทั้งประเทศไทยเองและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ศรีลังกา บังคลาเทศ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี รายงานผลของการเก็บขยะทั้งบนบกและในทะเลระบุว่า จากการแยกการเก็บขยะออกเป็น 5 จุด ณ อ่าวมะขาม, อ่าวทะลุ, หาดแหลมสน, อ่าวม่านไทรและหาดศาลเจ้า แยกขยะได้ 9 ประเภท ได้แก่ ขยะทั่วไป 1,030.82 กิโลกรัม, ขยะอันตราย 35.26 กิโลกรัม, ขวดแก้ว 514.88 กิโลกรัม, โฟม 414.73 กิโลกรัม, ทุ่น 34.6 กิโลกรัม, ขวดพลาสติก 830.14 กิโลกรัม, รองเท้า 131.38 กิโลกรัม, เชือก 945.18 กิโลกรัม และอุปกรณ์ประมง 7.9 กิโลกรัม รวมขยะทั้งหมด 3,944.89 กิโลกรัม โดยปีนี้พบขยะที่เก็บได้ในทะเลมีปริมาณที่น้อยลง จึงนับเป็นความสำเร็จของการรณรงค์อย่างมาก


