posttoday

ข่าวดีรับปีใหม่ ช่องโหว่โอโซนฟื้นฟูเองได้ แม้ต้องใช้เวลาหลักสิบปี

21 มกราคม 2566

ถือเป็นข่าวดีสำหรับโลกอย่างแท้จริง เมื่อสหประชาชาติ (United Nations) ระบุว่าชั้นโอโซนของโลกที่ถูกทำลายไป สามารถฟื้นฟูเองได้แต่อาจใช้เวลาหลักทศวรรษ

ตามรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2023 โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organisation) โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ และองค์กรอื่นๆ ทั้งในอเมริกาและยุโรป ระบุว่าประมาณปี 2040 ระดับชั้นโอโซนของโลกจะกลับไปสู่ระดับเดียวกับปี 1980 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดช่องโหว่โอโซน ยกเว้นในแถบขั้วโลก ที่จะกลับฟื้นคืนในปี 2045 ไปจนถึง 2065

ซึ่งทางนักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการวิจัยชี้ว่า การเลิกปล่อยสารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน (Ozone Depleting Substances หรือ ODS) ถือเป็นความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อม และเป็นแนวทางที่น่าเอาเยี่ยงอย่างสำหรับการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกินระดับที่กำหนด รวมถึงสร้างระเบียบเพื่อลดการปล่อยมลพิษ 

ข่าวดีรับปีใหม่ ช่องโหว่โอโซนฟื้นฟูเองได้ แม้ต้องใช้เวลาหลักสิบปี

 

สารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน (Ozone Depleting Substances หรือ ODS)

        สารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน หรือสาร ODS เป็นสารประเภทไฮโดรคาร์บอนที่มีคลอรีน ฟลูออรีน หรือโบรมีนเป็นองค์ประกอบและก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก เมื่อสารเหล่านี้สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศ ในระดับสตราโทสเฟียร์ซึ่งเป็นชั้นที่มีโอโซนอยู่ จะเกิดการแตกตัวทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของโอโซน ทำให้ชั้นโอโซนถูกทำลายและเกิดช่องโหว่จนรังสี UV ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกผ่านเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศมากเกินความจำเป็น 

        โดยหลักๆแล้วสารที่เป็นตัวทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนได้แก่ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC), ไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HFC), ฮาโลคาร์บอน (Halocarbon) และเมทิลคลอโรฟอร์ม (Methyl Chloroform)

        ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มี ‘พิธีสารมอนทรีออล’ เข้ามาควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดถึงการปล่อยสารอันตรายจากพื้นโลกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยในปัจจุบันคณะกรรมการได้ยืนยันแล้วว่าเราสามารถลดการปล่อยสารต้องห้ามสู่ชั้นบรรยากาศได้แล้วถึง 99% 

ข่าวดีรับปีใหม่ ช่องโหว่โอโซนฟื้นฟูเองได้ แม้ต้องใช้เวลาหลักสิบปี

พิธีสารมอนทรีออล

        พิธีสารมอนทรีออลเป็นข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อควบคุมการบริโภคและผลิตสารเคมีนับ 100 ชนิดที่มนุษย์สร้างขึ้นและมีผลทำลายชั้นโอโซน (สาร ODS) โดยพิธีสารมอนทรีออลเริ่มลงนามครั้งแรกในเดือนกันยายน 1987 

        ในปี 2016 ประเทศต่างๆเริ่มมีมติเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้การแก้ไขเพิ่มเติมคิกาลี (Kigali Amendment) ของพิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) โดยได้ปรับปรุงเนื้อหาว่าแม้ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในการทำความเย็นสำหรับอุปกรณ์ประเภทเครื่องปรับอากาศ จะเป็นสารที่ไม่ทำลายชั้นโอโซน แต่พิษภัยของมันยังส่งผลร้ายมหันต์เพราะทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึงพันเท่า

ข่าวดีรับปีใหม่ ช่องโหว่โอโซนฟื้นฟูเองได้ แม้ต้องใช้เวลาหลักสิบปี

เมื่อเราลดการปล่อยสารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และสาร HFC ลงอย่างต่อเนื่อง จะช่วยควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้

แม้สารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซนจะถูกควบคุมและลดการปล่อยลงแล้วถึง 99% แต่สาร CFC และไนตรัสออกไซด์ (N2O) กลับมีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจาก N2O ไม่ใช่สารที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพิธีสารมอนทรีออล และมาตรการควบคุมยังมีปัญหาในการบังคับใช้กับบางประเทศเช่น จีน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า หากพยายามทำให้โลกเย็นลงด้วยการฉีดสารเคมีสู่ชั้นบรรยากาศเพื่อสะท้อนรังสียูวีกลับ อาจเสี่ยงต่อการทำให้ชั้นโอโซนเบาบางลงกว่าเดิม ทั้งนี้การวิจัยเทคโนโลยีใหม่อย่างด้านวิศวกรรมธรณี ยังเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับก้าวต่อไปในอนาคต

ข่าวล่าสุด

LH Bank ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก “LHB OPD SAVER”