รถไฟ EV สู่ความเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอาเซียน
รถไฟฟ้าถือเป็นพัฒนาการยุคใหม่แห่งวงการยานยนต์ หลายประเทศต่างพยายามพัฒนาผลักดันเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำแห่งยุคสมัยใหม่ แต่หลายท่านอาจสงสัยว่ามันแตกต่างจากรถไฟฟ้าแบบเดิมอย่างไร? วันนี้เราจึงมาอธิบายความแตกต่าง และความพยายามของไทยในการผลิตรถไฟ EV
ปัจจุบันเราทราบดีว่าเทคโนโลยียานยนต์ทั่วโลกมุ่งหน้าสู่ EV หรือ ยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่รถยนต์ส่วนตัว รถบรรทุก จักรยานยนต์ หรือแม้แต่เรือ หลายประเทศต่างเร่งรัดการพัฒนาเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เข้าสู่พลังงานไฟฟ้า ตอบรับกระแสพัฒนาการทั่วโลกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
แน่นอนว่าระบบขนส่งมวลชนเองก็เช่นกัน หลายประเทศเริ่มเปลี่ยนผ่านพัฒนาเพื่อรองรับการมาถึงของยานยนต์ชนิดใหม่ แม้แต่ประเทศไทยขสมก.ยังมีแนวคิดในการนำรถโดยสารประจำทางพลังงานไฟฟ้ามาใช้งาน แน่นอนว่าอีกหนึ่งขนส่งมวลชนที่อยู่คู่กับประเทศไทยมายาวนานอย่างรถไฟ ก็เริ่มเกิดแนวคิดในการนำรถไฟพลังงานไฟฟ้ามาใช้งานเช่นกัน
วันนี้เราจึงจะมาพูดถึงรถไฟ EV กันเสียหน่อยว่าเหตุใดมันจึงเป็นอนาคตแห่งขนส่งมวลชน
รถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ อนาคตแห่งวงการรถไฟ
หลายท่านอาจสงสัยกันไม่น้อย จริงอยู่ในแวดวงรถยนต์หรือยานพาหนะชนิดอื่น รถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นนวัตกรรมใหม่พลิกโฉมวงการ แต่สำหรับวงการรถไฟนี่คือเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้อย่างยาวนาน นับเฉพาะในไทยก็มีการใช้งานมากว่า 20 ปี จากรถไฟฟ้า BTS ยิ่งในต่างประเทศรถไฟฟ้าชินคันเซ็นแห่งญี่ปุ่นก็ใช้งานมาตั้งแต่ปี 1964 เลยทีเดียว
ในเมื่อมีการใช้งานมายาวนานนี่ก็น่าจะเป็นเทคโนโลยีเก่าแก่ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตาขนาดนั้น เหตุใดผู้คนจึงพากันให้ความสนใจ? เราจึงขออธิบายระบบของรถไฟฟ้าแต่ละแบบเสียหน่อยว่า มีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงไร และทำไมรถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่จึงสำคัญ
ปัจจุบันรถไฟฟ้าที่เราใช้งานกันต่างมีรูปแบบการสร้างพลังงานขับเคลื่อนจากภายนอก โดนอาศัยการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานมารองรับตามเส้นทางราง เพื่อให้รถไฟสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ โดยจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. Overhead contact system(OCS)
รูปแบบไฟฟ้าที่ใช้ร่วมกับระบบนี้คือ AC 25,000 V โดยอาศัยรูปแบบการจ่ายไฟจากสายไฟที่อยู่เหนือรางรถไฟ เป็นระบบที่ถูกใช้งานกับ รถไฟฟ้าสายสีแดง, แอร์พอร์ทลิงค์, รถไฟความเร็วสูง รวมถึงรถไฟฟ้าชินคันเซ็นที่เป็นต้นตำรับเอง ล้วนใช้งานผ่านระบบ OCS ทั้งสิ้น
ข้อดีของระบบนี้คือ รองรับความเร็วสูงได้ดี มีต้นทุนการบำรุงรักษาต่ำ รวมถึงจุดจ่ายไฟแต่ละสถานีไม่จำเป็นต้องตั้งถี่ สามารถตั้งห่างกันได้มากถึง 40 – 60 กิโลเมตร/จุด แต่มีข้อเสียในด้านทัศนียภาพที่ต้องการสายไฟโยงยาวตลอดทาง เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ซึ่งมีระยะทางไกล
2. Third Rail
รูปแบบไฟฟ้าที่ใช้ร่วมกับระบบนี้คือ DC 750 V อาศัยการจ่ายพลังงานจาก รางที่สาม ซึ่งไม่ได้มีไว้สำหรับวิ่ง แต่มีหน้าที่ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าเจ้าสู่รถไฟเพื่อให้วิ่งได้ต่อเนื่อง ระบบนี้ถูกใช้งานกับ รถไฟฟ้า BTS, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และรถไฟฟ้าสายสีม่วง
ข้อดีของระบบนี้คือมีความเสถียรในการใช้งานมากกว่า เมื่อประสบกับภาวะภัยธรรมชาติเช่น ฝนฟ้าคะนอง พายุหิมะ หรือลมพายุ อาจทำให้เกิดการไฟดับจนการเดินขบวนรถไฟต้องหยุดลงทั้งขบวน ซึ่งระบบรางที่สามจะทำงานได้เสถียรกว่า แต่มีข้อเสียคืออันตรายจากกระแสไฟฟ้าที่แล่นบนราง รวมถึงต้องมีสถานีจ่ายไฟมากกว่า
ทั้งสองระบบต่างถูกนำมาใช้งานในประเทศไทยขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมว่าเอื้ออำนวยแก่ระบบไหน จุดร่วมที่รถไฟฟ้าทั้งสองระบบต้องยอมรับคือ การสร้างเส้นทางคมนาคมของรถไฟทั้งสองรูปแบบต้องใช้งบประมาณมหาศาล จากการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งาน ซึ่งไม่ว่าจะในระบบไหนก็ต้องใช้เงินลงทุนนับแสนล้านบาท
นี่จึงเป็นส่วนที่รถไฟฟ้าพลังแบตเตอรี่เข้ามาช่วยแก้ปัญหา โดยจะใช้งบประมาณการลงทุนและพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับน้อยที่สุด เปลี่ยนจากการจ่ายไฟตลอดเส้นทางเป็นการแวะพักตามจุดชาร์จ รวมถึงกรณีระยะทางไม่ไกลนักสามารถแวะชาร์จในตำแหน่งต้นทาง-ปลายทางแทนได้เช่นกัน
ปัจจุบันรถไฟ EV ยังอยู่ในเฟสการทดลองเป็นส่วนมาก ยังไม่มีชาติใดสามารถผลิตออกมาวางจำหน่ายหรือใช้งานได้จริง แต่หลายประเทศต่างมุ่งหน้าผลักดันรถไฟให้พร้อมรองรับ โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านแบตเตอรี่ที่ได้รับการพัฒนาอยู่ทุกวัน จนหลายส่วนทยอยเป็นรูปเป็นร่างไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย
การพัฒนารถไฟ EV ในประเทศไทย
การพัฒนาครั้งนี้เกิดจากบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เซ็นสัญญากับ China Railway Construction (Southeast Asia) Co.,Ltd (CRCC) ในการร่วมมือพัฒนาหัวรถจักรรวมถึงขบวนรถไฟที่ใช้กำลังขับเคลื่อนจากแบตเตอรี่ไฟฟ้า ได้รับการสนับสนุนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ในการส่งเสริมผลักดันเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
โดยบริษัท CRCC เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ก่อสร้างทางรถไฟมายาวนาน มีศักยภาพในการผลิตหัวรถจักรประสิทธิภาพสูง เช่นเดียวกับ EA ที่เป็นบริษัทผลิตแบตเตอรี่พลังงานสะอาดขนาดใหญ่ เป็นความร่วมมือเพื่อยกระดับภาคการผลิตและเทคโนโลยี ที่อาจขยายความเป็นไปได้และโอกาสให้แก่ประเทศไทยไม่รู้จบ
หากความร่วมมือในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ อาจช่วยยกระดับธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานแก่ประเทศไทยมากมาย ทั้งการจัดตั้งโรงงานประกอบหัวรถจักรและระบบขนส่งมวลชนจาก EV, จัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงให้แก่รถไฟความเร็วสูงรุ่นใหม่, ส่งเสริมศักยภาพการผลิตใช้ทรัพยากรในประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนและอัตราการจ้างงานจำนวนมหาศาล เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
ล่าสุดในวันที่ 17 กรกฎาคม 2022 ทางบริษัท CRCC ได้ทำการส่งหัวรถจักรพลังงานแบตเตอรี่มาสู่ประเทศไทย ผลงานจากความร่วมมือระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่ เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบคมนาคมทางรางของไทย ให้มุ่งหน้าสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างเต็มตัว
แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งยานยนต์แล้วเช่นกัน
แน่นอนว่านี่ยังคงเป็นต้นแบบสำหรับการทดลองใช้กับทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ยังจำเป็นต้องผ่านการทดสอบและปรับปรุง รวมถึงต้องได้รับการวางระบบเพื่อให้สามารถนำไปใช้งานทดแทนรถไฟขบวนที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน แต่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย
และอาจกลายเป็นก้าวสำคัญช่วยให้เราสามารถขึ้นเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต
ที่มา
https://www.thailandplus.tv/archives/230761


