ฝีดาษลิงคืออะไร? น่ากลัวแค่ไหน? มีวิธีรับมืออย่างไร?
หลายท่านอาจได้ยินข่าวเกี่ยวกับ ฝีดาษลิง ที่กำลังแพร่ระบาดในยุโรป อาจมีความสงสัยว่าโรคนี้รุนแรงแค่ไหน? เหมือนหรือต่างจากฝีดาษในคนเพียงไร? มีความรุนแรงและอันตรายแค่ไหน? มีแนวทางเช่นไรในการรักษา? และจะทำให้ทุกคนต้องกลับไปกักตัวหรือไม่? วันนี้เรามาหาคำตอบกัน
โรคระบาด คือคำที่ทุกคนบนโลกต่างคุ้นหูภายหลังการระบาดของโควิด วีถีชีวิตของผู้คนมากมายต้องเปลี่ยนไป บางคนอาจสูญเสียบุคคลสำคัญไปในช่วงเวลาแพร่ระบาด ถือเป็นความสูญเสียอันไม่อาจประเมินค่า ทิ้งรอยแผลให้แก่ผู้คนบนโลกไว้มากมาย
เมื่อมีข่าวการแพร่ระบาดของ ฝีดาษลิง(Monkeypox) จนทางองค์กรอนามัยโลก(WHO)ต้องจัดประชุมฉุกเฉิน หรือแม้แต่ในไทยยังเริ่มตื่นตัวยกระดับการเฝ้าระวังคนจากประเทศเสี่ยง อาจทำให้หลายคนเริ่มกังวลว่า นี่จะกลายเป็นโรคระบาดชนิดใหม่ซ้ำรอยกรณีโควิดหรือไม่?
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจโรคฝีดาษลิงที่เริ่มแพร่ระบาดในหลายประเทศเสียก่อนว่าคืออะไร?
ฝีดาษลิง โรคระบาดที่กำลังแพร่กระจายในยุโรป แต่ต่างจากฝีดาษที่เคยรู้จัก
คนส่วนใหญ่ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อ ไข้ทรพิษ หรือ ฝีดาษ(smallpox) กันมาบ้าง ด้วยนี่เป็นหนึ่งในโรคที่มีความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ รวมถึงเคยเป็นโรคระบาดร้ายแรงที่เคยคร่าชีวิตคนไปมากมาย ทำให้เมื่อได้ยินคำว่า ฝีดาษ หลายคนจึงรู้สึกไม่สบายใจ กลัวว่าการระบาดใหญ่จะกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจก่อนนั่นคือ ฝีดาษลิงแม้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae ในกลุ่ม Orthopoxvirus ก็จริง แต่เป็นคนละตัวกับเชื้อฝีดาษที่ทำให้เกิดไข้ทรพิษในมนุษย์ อีกทั้งโดยพื้นฐานแล้วความรุนแรงของฝีดาษลิงน้อยกว่าฝีดาษของมนุษย์อีกด้วย
โรคฝีดาษลิง พบได้ในสัตว์หลายชนิดโดยเฉพาะในสัตว์ตระกูลฟัน เช่น กระรอก กระต่าย หนูป่า รวมถึงสัตว์ตระกูลลิง ซึ่งคนเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ไม่ถือเป็นโรคอุบัติใหม่แม้เพิ่งเริ่มมีการแพร่ระบาดภายในยุโรป เพราะอันที่จริงโรคนี้เกิดการแพร่ระบาดขึ้นมาแล้วมากกว่า 20 ปีในทวีปแอฟริกา
การระบาดของเชื้อชนิดนี้โดยมากเกิดขึ้นจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง ตั้งแต่เลือด น้ำเหลือง หรือสารชนิดอื่นๆ ไปจนถึงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยและการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้เมื่อถูกกัดหรือกินเนื้อสัตว์ติดเชื้อโดยไม่นำไปปรุงสุก ก็มีแนวโน้มในการติดเชื้อสูงเช่นกัน
เมื่อเกิดการติดเชื้อจะมีระยะเวลาฟักตัว 5 ถึง 21 วัน แต่มักเริ่มเกิดอาการในช่วง 12 วันหลังได้รับเชื้อ โดยจะเริ่มจากการมีไข้, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, เจ็บคอ, อ่อนเพลีย, ซึม ไปจนต่อมน้ำเหลืองโต จากนั้นจึงเริ่มปรากฏอาการผื่นเริ่มจากบริเวณใบหน้าก่อนลามไปตามร่างกาย กลายเป็นตุ่มหนองแล้วจึงหลุดออกก่อให้เกิดแผลเป็น
ฟังดูไม่แตกต่างจากฝีดาษที่เรารู้จักกัน แต่ข้อแตกต่างประการสำคัญคืออัตราการเสียชีวิต แม้เป็นถิ่นกำเนิดของโรคนี้อย่างในแอฟริกาอัตราการเสียชีวิตก็ไม่ได้มากนัก โดยฝีดาษลิงสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตกมีอัตราการเสียชีวิต 3.6% ในขณะที่สายพันธุ์แอฟริกากลางมีอัตราเสียชีวิตราว 10.6% ในขณะที่ไข้ทรพิษหรือฝีดาษทั่วไปมีอัตราเสียชีวิตมากถึง 30%
จึงสามารถพูดได้เต็มปากว่าไข้ทรพิษที่เรารู้จักกันในอดีต มีความรุนแรงและอันตรายกว่าฝีดาษลิงในปัจจุบันมาก
หมายความว่าฝีดาษลิงไม่อันตราย?
เมื่อเปรียบเทียบอัตราการตายของฝีดาษลิงกับฝีดาษทั่วไปเห็นได้ชัดว่าด้อยกว่ากันมาก และเมื่อเทียบกับโควิดเองก็มีอัตราการแพร่ระบาดได้ยากกว่าเพราะต้องสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง จึงสามารถสรุปได้ว่าเชื้อชนิดนี้ไม่ได้อันตรายเท่ากับโรคระบาดใหญ่ที่โลกเราเคยเผชิญ
แต่เมื่อประเมินจากข้อมูลทั้งหมดจะบอกว่าฝีดาษลิงเป็นโรคเล็กน้อยไม่ต้องให้ความสนใจก็ไม่ถูก
ตัวเลขการระบาดในทวีปยุโรปกำลังเพิ่มสูง ปัจจุบันกำลังกระจายตัวไปใน 10 กว่าประเทศนอกทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรปพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 ราย นั่นทำให้กระทรวงสาธารณสุขทั่วโลกพากันจับตาเฝ้าระวัง เริ่มคัดกรองผู้เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง บางประเทศถึงขั้นเริ่มมีมาตรการกักตัวผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดวงกว้าง
จริงอยู่แนวโน้มในการแพร่ระบาดจากคนสู่คนอาจไม่มากหากไม่สัมผัสหรือเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อ แต่เคยมีกรณีที่ผู้ป่วยสามารถรับเชื้อเข้าไปได้จากของใช้ส่วนตัวของผู้ป่วย จนถึงละอองสารคัดหลั่งเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ก็มีแนวโน้มทำให้เกิดการติดเชื้อได้เช่นกัน
นอกจากนี้แม้อัตราเสียชีวิตจะไม่สูงนักแต่นั่นจัดอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยทั่วไป สามารถหายได้เองในเวลาราว 2 – 4 อาทิตย์ สำหรับผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือกลุ่มเสี่ยงหลายประเภท โดยเฉพาะเด็ก สตรีมีครรภ์ หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง กลุ่มนี้เป็นผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีแนวโน้มในการเกิดอาการรุนแรงสูงหากเกิดการติดเชื้อนำไปสู่การเสียชีวิตได้ง่ายกว่า
แนวทางป้องกันโรคฝีดาษลิง การเฝ้าระวังและรักษาตัว
ปัจจุบันหลายประเทศรวมถึงไทยต่างตื่นตัวเตรียมพร้อมรับมือกับโรค แม้แต่ในไทยเองกรมควบคุมโรคก็ได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข เพื่อติดตามสถานการณ์และแนวโน้มพร้อมรับมือโรค รวมถึงออกข้อกำหนดให้ประชาชนที่เดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยงปฏิบัติ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงสัมผัสสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระต่าย รวมถึงสัตว์ตระกูลลิง แม้ยังไม่มีรายงานพการระบาดเชื้อชนิดนี้ในไทย แต่หากมีการสัมผัสให้รีบล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด
- หมั่นล้างมือด้วยสบู่และเจลแอลกอฮอล์ แยกของใช้ส่วนตัวทุกชนิดจากผู้อื่น หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก และกินอาหารปรุงสุก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง บาดแผล เลือด และน้ำลายของสัตว์ติดเชื้อรวมถึงกลุ่มเสี่ยง แม้การติดเชื้อจากคนสู่คนจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม
- หลังกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงหากมีอาการผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางทันที
อาจมีผู้สงสัยว่าในเมื่อฝีดาษเคยระบาดบนโลกและมีการผลิตวัคซีนมาก่อน วัคซีนฝีดาษสามารถป้องกันเชื้อฝีดาษลิงได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ วัคซีนฝีดาษที่มีอยู่สามารถป้องกันการติดเชื้อฝีดาษลิงได้ถึง 85% ดังนั้นสำหรับผู้ได้รับวัคซีนจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อมากนักเพราะมีภูมิคุ้มกันในตัว
ถึงจุดนี้อาจมีคนสงสัยว่าแล้วผู้ได้รับวัคซีนฝีดาษซึ่งถูกเรียกว่า การปลูกฝี มีใครบ้าง? และตนเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่?
ในประเทศไทยจากข้อมูลเด็กที่เกิดหลังปี 2523 เป็นต้นมาจะไม่ได้รับการฉีดวัคซีนฝีดาษอีก ด้วยในขณะนั้นฝีดาษกลายเป็นโรคระบาดที่เกือบจะสูญพันธุ์ไปจากโลก ภายหลังประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อ ไม่มีการแพร่กระจายหรือระบาดวงกว้างอีกต่อไป วัคซีนฝีดาษจึงถูกถอดออกจากวัคซีนที่ต้องได้รับในที่สุด
นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมกลุ่มผู้สูงอายุจึงไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีอันตรายมากนัก ด้วยนี่คือกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนมาแล้วครั้งหนึ่งจึงน่าจะมีภูมิคุ้มกันในตัว รวมถึงกลุ่มเสี่ยงหลักจึงขยับมาเป็นเด็กเล็กและคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนชนิดนี้มาก่อน
จากรูปแบบและแนวทางการระบาดของเชื้อปัจจุบัน แม้บางประเทศมีการเฝ้าระวังรวมถึงสั่งกักตัวกลุ่มเสี่ยง 21 วัน จากจำนวนผู้ติดเชื้อทยอยเพิ่มสูง แต่ทางองค์กรอนามัยโลกเองก็ยืนยันว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนป้องกันเป็นวงกว้างให้แก่ประชาชน เพราะฝีดาษลิงไม่ใช่โรคแพร่ระบาดได้ง่ายแบบโรคทางเดินหายใจรวมถึงยังไม่มีแนวโน้มการกลายพันธุ์
อีกทั้งในปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิงถูกคิดค้นขึ้นมาสำเร็จนับแต่ปี 2562 เช่นเดียวกับยาที่ใช้ในการรักษาไข้ทรพิษรวมถึงฝีดาษลิงอย่าง Tecovirimat ก็ได้รับการอนุมัติในต้นปี 2565 ที่ผ่านมา แม้ยังไม่ได้รับอนุญาตในบางประเทศแต่ไม่ถึงขั้นเป็นโรคที่ปราศจากยารักษาโดยสิ้นเชิง
เราจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าฝีดาษลิงจะทำให้เรากลับไปซ้ำรอยกับโควิดเพราะปัจจัยหลายอย่างแตกต่างกันมาก
อย่างไรก็ตามจากการเปิดเผยขององค์กรอนามันโลกระบุว่า ผู้ป่วยจำนวนมากเป็นกลุ่มชายรักชาย ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันและไม่เคยเดินทางไปทวีปแอฟริกา จึงเป็นไปได้ว่ามีผู้ได้รับเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ หรือกลุ่มที่ไม่ได้เข้ารับการตรวจอีกเป็นจำนวนมาก และตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เราเห็นในตอนนี้อาจเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
ดังนั้นแม้ประเทศไทยจะยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อเข้ามาในประเทศก็ตาม แต่เราก็ควรระมัดระวังตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดเป็นวงกว้างเช่นกัน
ที่มา
https://www.doctorraksa.com/th-TH/blog/smallpox.html
https://interestingengineering.com/who-confirmed-92-monkeypox-cases
https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=25415&deptcode=brc&news_views=5907


