Next to know อัลไซเมอร์สามารถวินิจฉัยได้ด้วยเลือด
อัลไซเมอร์ โรคทางสมองร้ายแรงที่ไม่ได้ส่งผลแต่กับผู้ป่วย คนรอบข้างเองยังได้รับผลกระทบ แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้แน่ชัด แต่ล่าสุดมีการคิดค้นวิธีการตรวจวินิจฉัยรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยให้คนป่วยได้รับการรักษารวดเร็ว เป็นความหวังในการทุเลาอาการอีกทาง
อัลไซเมอร์ถือเป็นโรคร้ายแรงทางสมอง สามารถสร้างผลกระทบในการใช้ชีวิตอีกทั้งเป็นอันตรายทั้งต่อตัวผู้ป่วยและคนรอบข้าง ถือเป็นโรคร้ายแรงสามารถคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรา ทำให้เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ
จากสถิติในปัจจุบันผู้ป่วยอัลไซเมอร์ส่วนมากมักเป็นผู้สูงอายุ โดยกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไปจะพบผู้ป่วยราวร้อยละ 5 กลุ่มอายุ 75 ปีขึ้นไปพบผู้ป่วยราวร้อยละ 15 และกลุ่มอายุ 85 ปีขึ้นไปพบผู้ป่วยกว่าร้อยละ 40 อีกทั้งนี่เป็นโรคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อประเมินทิศทางของหลายประเทศที่ขยายตัวไปสู่สังคมผู้สูงอายุ ในสหรัฐฯก็มีผู้ป่วยมากกว่า 6 ล้านคนทีเดียว
ร้ายแรงยิ่งกว่าคืออัลไซเมอร์ถือเป็นหนึ่งในโรคไม่อาจรักษาให้หายขาด สาเหตุมาจากความผิดปกตินี้มาจากการเสื่อมถอยของสมอง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์เรามีข้อจำกัดเกินกว่าจะทำการรักษาโรคนี้ นั่นทำให้การตรวจรักษาแต่เนิ่นๆ เพื่อชะลอและบรรเทาอาการจึงเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ก่อนอื่นคงต้องอธิบายกันก่อนว่าอัลไซเมอร์ร้ายแรงแค่ไหน และทำไมมันจะกลายเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพ
อัลไซเมอร์ โรคทางสมองที่ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ความจำ
เรารู้กันดีว่าอัลไซเมอร์เป็นภาวะทำให้เกิดสมองเสื่อมแต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ไม่จำเป็นเสมอไปว่าอาการสมองเสื่อมต้องมาจากอัลไซเมอร์ มีโรคทางสมอง 5 – 6 ชนิดที่สามารถสร้างอาการคล้ายกันนี้ รวมถึงสามารถเกิดจากความเจ็บป่วยทางกายรูปแบบต่างๆ เช่น หลอดเลือดสมองตีบ เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง ไทรอยด์ ฯลฯ
ทั้งนี้ไม่รวมอาการหลงลืมตามวัยที่สามารถเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุทุกคน ถือเป็นเรื่องทั่วไปอาจมีบางคนเข้าใจผิดไปบ้าง เพราะเมื่ออายุมากขึ้นสมองของเราย่อมถดถอย จึงอาจมีความคิดอ่านช้า ตัดสินใจแย่ หรือมีอาการหลงลืมเล็กน้อย เช่น หาชองที่เก็บไว้ไม่เจอ จำที่จอดรถไม่ได้ จนถึงนึกชื่อคนที่ไม่ได้เจอกันนานไม่ออกอยู่บ้าง แต่จะนึกออกหลังจากนั้นในไม่ช้า
อาการอัลไซเมอร์สามารถสังเกตได้จากการหลงลืมต่างๆ เริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ลืมสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น สับสนเรื่องเวลาและสถานที่บ่อยๆ เวลาลืมอะไรแล้วไม่สามารถนึกออกได้ ลืมเครื่องมือรวมถึงวิธีใช้ชีวิตประจำวัน หรือกระทั่งลืมคนในครอบครัว สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณบ่งบอกของโรคอัลไซเมอร์อันชัดเจน
อาการโรคอัลไซเมอร์ถูกแบ่งออกกว้างๆ 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยจนรู้สึกได้ ชอบถามซ้ำ พูดซ้ำเรื่องเดิมๆ สับสนทิศทาง สถานที่ จนถึงวันเวลา เริ่มเครียดและอารมณ์เสียง่ายจนเสี่ยงเป็นซึมเศร้า แต่ระยะนี้ยังสามารถสื่อสารทำกิจวัตรประจำวัน ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- ระยะกลาง อาการจะชัดเจนกว่าเก่า ความทรงจำแย่ลงกว่าเดิม อาจเดินออกจากบ้านแบบไม่มีจุดหมาย พฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก อาจอารมณ์ร้อนเจ้าอารมณ์ขึ้น หรือกลายเป็นเงียบขรึมไม่ชอบพูดก็ได้ นำไปสู่ปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน ใช้อุปกรณ์ทั่วไปไม่ได้ บางรายอาจไม่อยู่ในโลกความจริงคล้ายประสาทหลอน
- ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบข้างอีกต่อไป สุขภาพเริ่มทรุดโทรมคล้ายผู้ป่วยติดเตียง ทานอาหารน้อยลง เคลื่อนไหวน้อยหรือไม่เคลื่อนไหวเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่พูดจา ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นำไปสู่การติดเชื้อและเสียชีวิตในที่สุด
โดยระยะเวลาจากระยะแรกจนมาถึงระยะสุดท้ายจะกินเวลาราว 8 – 10 ปี
ปัจจุบันเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าต้นตอของอาการอัลไซเมอร์เกิดจากเหตุใด ด้วยปัจจุบันเรายังมีข้อมูลเกี่ยวกับสมองน้อยมาก แต่สันนิฐานว่าอาจเกิดจากการฝ่อของสมอง เนื่องด้วยโรคนี้มีผู้ป่วยจำนวนมากเป็นผู้สูงอายุ ทำให้เกิดการถดถอยของสมองตามช่วงวัย
แม้อายุไม่มากแต่หากมีความเสียหายที่สมองมากพอก็อาจทำให้เกิดอาการนี้ขึ้นได้ เช่น ได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะทำให้สมองเกิดความเสียหาย การอักเสบของสมอง การเกิดเนื้องอก อาการกลุ่มนี้จะทำให้เกิดอาการสมองฝ่อมากกว่าปกติ เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน
อีกหนึ่งสาเหตุที่มีความเกี่ยวโยงคือโรคทางพันธุกรรมรวมถึงกรรมพันธุ์ ทั้งสองกลุ่มนี้มีความเสี่นงในการเกิดโปรตีนบางชนิดทำให้เกิดอาการอัลไซเมอร์ได้ เช่น อะไมลอยด์(amyloid) และทาว(tau) เป็นโปรตีนที่พบมากในผู้ป่วยที่มีอาการถดถอยรุนแรง จึงทำให้คนกลุ่มนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นพิเศษเช่นกัน
นอกจากนี้โรคประจำตัวบางชนิดยังส่งผลต่ออัลไซเมอร์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับหลอดเลือดในสมองจนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงในการก่อโรค ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง รวมถึงโรคอ้วน และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราการเกิดในผู้สูงอายุมากขึ้น เพราะล้วนเป็นโรคยอดฮิตของคนสูงวัยทั้งสิ้น
อย่างที่บอกไปการรักษาอัลไซเมอร์ให้หายขาดแทบเป็นไปไม่ได้ เซลล์สมองเมื่อเกิดความเสียหายยากจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิม มีเพียงการทุเลาอาการชะลอเวลาและอาการให้น้อยลง เน้นการรักษาแบบประคับประคอง นั่นยิ่งทำให้การตรวจพบได้เร็วเท่าไหร่ โอกาสรักษาหรือบรรเทาอาการจึงยิ่งมากขึ้น ขั้นตอนการตรวจจึงนับว่ามีความสำคัญมาก
การตรวจวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ในปัจจุบัน
การตรวจวินิจฉัยปัจจุบันจำเป็นต้องทำการทดสอบยาวนาน เพื่อตรวจสอบว่าผู้ป่วยสมองเสื่อมด้วยอาการของโรคอัลไซเมอร์หรือไม่ เริ่มจากขั้นตอนตรวจร่างกายโดยละเอียดเพื่อหาความผิดปกติทางระบบประสาท จากนั้นจึงมีการทำแบบทดสอบรูปแบบต่างๆ เพื่อวัดความจำ ซักถามประวัติ จนถึงประเมินภาวะทางอารมณ์ถือเป็นการวินิจฉัยเบื้องต้น
ถ้าต้องการความแม่นยำอาจต้องตรวจทดลองในห้องปฏิบัติการหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเอ็กซ์เรย์หรือใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตรวจจวัดการทำงานของสมองซึ่งต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ตรวจยีนบางชนิดที่อาจมีผลกระทบต่อสมอง ตรวจทดสอบหาโรคติดต่อที่มีผลต่อระบบประสาท เช่น ซิฟิลิส ตรวจสอบภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ไปจนถึงการตรวจสอบสารอาหารและแร่ธาตุภายในร่างกาย เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นตัวแปรที่อาจทำให้เกิดอาการทางประสาทได้ทั้งสิ้น
ด้วยรูปแบบการตรวจโรคอันซับซ้อนประกอบกับความยุ่งยากหลายขั้นตอน ทำให้ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จำนวนมากยากจะรู้ตัวล่วงหน้าว่าตนมีอาการ เพราะความยากในการแยกแยะรวมถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจค่อนข้างสูง ทำให้หลายครั้งกว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวคือเมื่อเริ่มแสดงจนถึงระยะหลาง ทำให้บางครั้งอาจช้าเกินในการรักษาแบบประคับประคอง
แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อปัจจุบันเราสามารถตรวจอัลไซเมอร์ได้จากผลการวิเคราะห์เลือด
การตรวจวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์รูปแบบใหม่
กระบวนการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์นี้ผ่านการทดสอบกับผู้ป่วยกว่า 500 คน ทั้งในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และสวีเดน ที่อาศัยแค่ผลตรวจเลือดอย่างเดียวก็สามารถระบุได้ว่าเป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์หรือไม่ เพิ่มความสะดวกในการใช้งานอีกทั้งยังเห็นผลอย่างรวดเร็ว เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตัวผู้ป่วยรวมถึงแพทย์ผู้วินิจฉัยเอง
การตรวจเลือดนี้ใช้แนวคิดเรื่องผู้ป่วยอัลไซเมอร์มักมีการสะสมของ อะไมลอยด์ มากเป็นพิเศษ นำมาสู่การตรวจหาค่าโปรตีนชนิดนี้ในเลือดแบบเฉพาะเจาะจง ช่วยให้ระบุอาการของโรคนี้ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งจากการทดสอบในหลายประเทศยังมีความแม่นยำกว่า 93% เลยทีเดียว
ที่ผ่านมาการตรวจอัลไซเมอร์ถ้าไม่มีขั้นตอนยุ่งยากก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง อย่างเครื่องสแกนสมอง PET มีค่าใช้จ่ายสูงมาก หรือการเจาะไขสันหลังเพื่อตรวจสอบซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่คนไข้ แต่การตรวจเลือดนี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงจากเดิมหลายเท่า ช่วยให้การตรวจหาโรคเปิดกว้างจนสามารถพบและรักษาได้แต่เนิ่นๆ
สิ่งนี้ถือเป็นการเปิดมิติในการรักษาอัลไซเมอร์ให้กว้างขึ้น หลังจากที่ผ่านมาคนไข้มักมาถึงมือหมอช้าเกิน บางครั้งเป็นช่วงเวลาอาการแสดงให้เห็นชัดจนการรักษาประคับประคองช่วยได้ไม่มาก แต่นี่จะช่วยให้สามารถตรวจพบและทำการรักษาได้รวดเร็ว อาจทำได้ตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มต้นของโรค เพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวจนหายขาดจากโรคได้มากขึ้นในอนาคต
น่าดูชมว่าการค้นพบวิธีการวินิจฉัยอาการอัลไซเมอร์ในครั้งนี้จะช่วยเปิดประตูสู่หนทางใหม่ได้แค่ไหน หรือจะช่วยพัฒนาวงการแพทย์ไปขนาดไหน แต่จากนี้ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์อาจสามารถเข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วขึ้น จนกลายเป็นโรคที่เราสามารถรับมือและประคองอาการแก่ผู้ป่วยให้มีชีวิตตามปกติได้ในเร็ววัน


