จากพ่อสู่ลูก มักซ์ แวร์สแตพเพน อัจฉริยะสร้างได้แห่งวงการเอฟวัน
ยอส แวร์สแตพเพน อาจไม่ใช่นักขับระดับโลกในยุคของตน แต่เมื่อค้นพบศักยภาพและแพสชั่นในตัว มักซ์ ลูกชาย แผนการสร้างแชมป์โลกคนใหม่ของครอบครัว แวร์สแตพเพน ก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อ 22 ปีก่อน
Highlights
- มักซ์ แวร์สแตพเพน ค้นพบเสน่ห์ของการแข่งรถตั้งแต่อายุ 2 ขวบครึ่ง จนสุดท้าย ยอส ผู้พ่อต้องตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัวทันทีที่ตัดสินใจรีไทร์จากวงการเอฟวัน
- สองพ่อลูกตระเวนแข่งรถคาร์ทไปทั่วยุโรป และใช้เวลาเพียงสองปี กระโดดข้ามขั้นจากวันที่ได้แชมป์โลกโกคาร์ท มาสู่วงการเอฟวัน และเพิ่งโค่น ลิวอิส แฮมิลตัน จากบัลลังก์ในปีล่าสุด
- คนรอบข้างลงความเห็นว่า มักซ์ คือส่วนผสมที่ลงตัว ระหว่างความดุดันของพ่อ กับมันสมองและความใจเย็นของแม่ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เจ้าตัวก้าวไปอีกระดับจนไปถึงตำแหน่งแชมป์โลก
--------------------
คนทั้งโลกได้เห็น มักซ์ แวร์สแตพเพน เป็นแชมป์โลกฟอร์มูลา วันคนใหม่ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
แต่พ่อและแม่ของเจ้าตัว เห็นศักยภาพที่จะเติบโตมาเป็นนักแข่งชั้นนำของโลก ตั้งแต่เจ้าหนูมักซ์ อายุเพียงสองขวบครึ่ง ก่อนจะกลายเป็นจริง เมื่อลูกชายของทั้งคู่ โค่นแชมป์โลกเจ็ดสมัยลงได้อย่างน่าตื่นเต้นในรายการ อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์
[สายเลือดนักแข่ง]
ยอส พ่อของ มักซ์ ซึ่งอยู่ในวงการฟอร์มูลาวัน ระหว่างปี 1994-2003 ให้ลูกชายลองขี่ควอดไบค์ (มอเตอร์ไซค์สี่ล้อ ที่บ้านเราเรียกว่ารถเอทีวี) ตั้งแต่อายุยังน้อย
"แค่วันที่สองหรือสามที่ลองหัดขับ เขาก็หัดยกล้อ แล้วก็พุ่งไปชนกับกำแพง โชคดีที่ผมให้เขาใส่หมวกกันน็อคไว้ มันก็มีแผลขีดข่วนบ้าง แต่เขาก็ไม่สนเท่าไหร่" ยอส ซึ่งมีผลงานขึ้นโพเดียมสองครั้ง ตลอดชีวิตนักขับ เอฟวัน เล่าถึงอดีตของลูกชาย
"เขาติดเครื่องยนต์งอมแงม ไม่สนว่าจะเป็นควอดไบค์ จี๊ปไฟฟ้า ของเล่นเด็กที่วิ่งได้อะไรพวกนั้น มักซ์ อยากเล่นแต่ของพวกนี้ทุกวัน"
ไม่ใช่แค่ ยอส คนเดียวที่ส่งต่อสายเลือดนักแข่งให้ มักซ์ เพราะในช่วงวัยรุ่น โซฟี คัมเพน แม่ของ มักซ์ ก็เป็นอดีตนักแข่งรถคาร์ทระดับหัวแถว ที่เคยลงสนามในยุคเดียวกับ เจนสัน บัตตัน, ยาน มักนุสเซน, จานคาร์โล ฟิซิเคลลา และ ยาร์โน ทรุลลี มาก่อน
แม้คุณพ่อนักขับจะไม่อยากเร่งรัดให้ลูกชายเข้าสู่วงการเร็วเกินไป "ผมอยากให้เขาเริ่มหัดซักตอน 6 ขวบ วัยนั้นน่าจะเหมาะที่สุด เพราะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มเข้าใจอะไรได้มากขึ้น"
แต่ยังไม่ถึงเวลาที่ ยอส ตั้งใจไว้ เจ้าตัวก็ได้รับโทรศัพท์ทางไกล ระหว่างเดินทางไปแคนาดา ในปี 2002 เพื่อรับรู้ว่าเจ้าลูกชายไปปรากฎตัวที่สนามแข่งรถคาร์ทใกล้บ้าน กับคนอื่น ๆ ในครอบครัว
"เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นจากปลายสาย ตอนนั้น มักซ์ เพิ่งสี่ขวบครึ่ง แต่เขาเห็นเด็กเล็กกว่าได้ขับรถคาร์ท ก็เลยอยากขับบ้าง นั่นแหละคือจุดเริ่มต้น"
หนึ่งปีถัดมา เมื่อ ยอส ตัดสินใจเลิกเป็นนักแข่งเอฟวัน เขาก็หันมาทุ่มเทให้กับการฝึกฝนลูกชายแบบ 100%
"นั่นละคืองานใหม่ของผม"
[พ่อลูกโกคาร์ท]
หลังรีไทร์ตัวเอง ยอส ก็ใช้เวลาทั้งหมดในการเตรียมพร้อมลูกชาย เพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่ต้องการ โดยเริ่มต้นจากการตระเวนแข่งโกคาร์ทในเบลเยียม และฮอลแลนด์ ก่อนจะค่อย ๆ ตระเวนท่องไปทั่วยุโรปด้วยรถแวน
หลังโทรศัพท์ข้ามทวีปพร้อมเสียงร้องไห้ในวันนั้น ของขวัญชิ้นใหม่ที่ มักซ์ ได้รับคือ รถคาร์ทสำหรับเด็ก ซึ่งทุกวันนี้ทั้งคู่ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึก
"มันยังแขวนอยู่ที่ร้านของเรา ผมยังจำวันแรกที่ซื้อให้เขาได้ มันไม่ได้เร็วอะไรนัก แต่แปบเดียว เขาก็ขับมันร่อนไปทั่ว มันสะเทือนจนคาร์บูเรเตอร์กระเด็นหลุดออกมาแทบจะทุกครั้งที่ขับ"
สุดท้าย ยอส ก็ตัดสินใจซื้อ มินิ-คาร์ท ซึ่งเหมาะกับการใช้งานแบบจริงจังกว่า แต่ก็ต้องปรับแต่งพอสมควร เพราะเจ้าหนูมักซ์ยังเล็กมากในตอนนั้น
และจากที่เคยคิดว่า "ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน" ครอบครัว แวร์สแตพเพน ก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็น "มุ่งหน้าสู่วงการฟอร์มูลาวันกันเถอะ" แทน
ยอส ตัดสินใจเดินหน้าเต็มที่ เพราะเชื่อว่าลูกชายมีพรสวรรค์จริง "ถ้าเขาไม่มีแวว ผมคงไม่คิดจะลงทุน เพราะโกคาร์ทมันแพงมาก ถ้าคุณคิดจะแข่งในระดับนานาชาติ"
"แต่พอเห็นสิ่งที่เขาทำได้ เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน จะรู้ว่าเขาทิ้งห่างคนอื่นไปไกลมาก เราก็เลยขยับไปแข่งกับเด็กที่โตกว่าเขาสองหรือสามปี ซึ่งมันมีความแตกต่างกันมากในช่วงวัยนั้น"
ในที่สุด มักซ์ ก็ได้ลงแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรก ตอนอายุ 7 ขวบ ท่ามกลางคู่แข่งที่โตกว่าถึงสี่ปี แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขาเป็นผู้ชนะ
"มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะยางที่เราใช้นิ่มเกินไป และพอถึงตอนท้าย เราก็สังเกตุเห็นว่าเขาเริ่มเหนื่อยแล้ว แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าเขามีใจสู้ และอยากเป็นผู้ชนะ เขาไม่ได้สนว่าคนอื่น ๆ จะโตกว่า เขาแค่อยากชนะ"
คำถามคือเจ้าหนูมักซ์หลงใหลการขับขนาดไหน คำตอบคือในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ตอนช่วงอายุ 9 หรือ 10 ขวบ หลังเลิกเรียนในบ่ายวันศุกร์ ยอส และลูกชายต้องเดินทางจากบ้านที่เกงค์ไปแข่งในระดับจูเนียร์ ที่อิตาลีทุกสุดสัปดาห์
"ผมต้องขับรถแวนไปจอดรอหน้าโรงเรียนก่อนบ่ายสองโมงครึ่งวันศุกร์ พอเลิกเรียน เขาก็โดดขึ้นรถ แล้วเราก็ขับไปอิตาลีกัน ใช้เวลาทั้งสุดสัปดาห์ที่สนามแข่ง ถึงห้าโมงเย็นวันอาทิตย์แล้วเราก็ขับรถกลับเบลเยียม มันกินระยะทางประมาณ 1,250 กม. ได้ พอเช้าวันจันทร์ ผมก็ขับไปส่งเขาที่โรงเรียนต่อ"
ทำไมต้องอิตาลี? ยอส อธิบายว่าการแข่งรายการสำคัญ ๆ ไปรวมอยู่ที่นั่นหมด เพราะโรงงานต่าง ๆ อยู่ที่นั่น เขาอยากให้ มักซ์ รู้จักสนามทั้งหมด และก็เป็นการวัดมาตรฐานว่าลูกชายอยู่ในระดับไหนแล้ว ทั้งในแง่ความเร็ว เครื่องยนต์ แชสซีส์ ฯลฯ
"ระหว่างนั่งบนรถแวน ถ้าเขาไม่หลับ เราก็จะคุยกันถึงสนามที่เขาจะไปแข่ง สถานการณ์ที่ต้องเจอในสนาม มันเป็นการเรียนรู้เพื่อเตรียมตัวสำหรับเป็นนักแข่งรถ"
ในเบลเยียม ซึ่งอากาศเย็นกว่า ก็เป็นอีกบททดสอบของสองพ่อลูก ที่จะลงขับสัปดาห์ละสองหรือสามครั้ง ไม่ว่าฝนจะตก หรือหนาวระดับอุณหภูมิติดลบ
"หลังจากเทสต์ไปห้ารอบ มือเขาเย็นเฉียบ ผมจะให้เขาขึ้นไปพักบนรถห้านาที และกลับมาขับต่อ หลายครั้งมันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกสำหรับ มักซ์ แต่มันช่วยหลอมให้เขามีคาแรกเตอร์ที่แข็งแกร่ง"
"มักซ์ รู้ว่าผมทุ่มเทกับเขาขนาดไหน มันทำให้เขาเป็นคนที่มุ่งมั่นและตื่นตัวอยู่เสมอ"
การเป็นลูกชายของนักขับที่ประสบความสำเร็จของประเทศในยุคนั้นทำให้ มักซ์ ถูกพูดถึง แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวได้รับการยอมรับ คือผลงานในสนาม
เมื่อประสบความสำเร็จต่อเนื่องในวงการคาร์ท รวมถึงตำแหน่งแชมป์โลก โอกาสของ มักซ์ ในการก้าวไปอีกระดับก็มาถึง เมื่อเขาอายุ 16 ปี
[อัจฉริยะที่ถูกหลอมมาเพื่อมอเตอร์สปอร์ต]
"ยอส กับ โซฟี ต่างก็มียีนของนักแข่งรถอยู่ในตัว ลูกของทั้งคู่ก็เช่นกัน จากนั้น มักซ์ ก็ถูกหล่อหลอมให้เป็นนักขับที่แท้จริง"
"มันเหมือนที่พ่อของ อังเดร อากัสซี สร้างให้เขาเป็นเครื่องจักรเล่นเทนนิส ด้วยการให้ซ้อมตีวันละ 3,000 ครั้ง ยอส ก็ทำคล้าย ๆ กัน ที่ผมได้ยินมาตอนทั้งคู่อยู่ในวงการคาร์ท บางครั้งมันก็เกินกว่าที่คนธรรมดาจะรับไหว ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา และ ยอส ก็เตรียมทุกอย่างเพื่อสร้างให้ลูกชายเป็นนักขับที่ดีที่สุดในโลก"
มักซ์ ยอมรับว่าบางครั้ง ยอส ก็ใช้ไม้แข็งกับเขา ซี่งก็จำเป็น เพื่อให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
ยอส ก็ยอมรับเรื่องนี้ "บางครั้งที่เขาไม่มีสมาธิ หรือมัวแต่เล่นโน่นเล่นนี่ เมื่อผมรู้สึกว่าเขากำลังออกนอกลู่นอกทาง ผมจะบอกเขาไปตรง ๆ ว่ผมทำอะไรมาบ้าง เพื่อหาว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเขา และถ้าเขายังเรื่อยเปื่อยอยู่ นั่นไม่ใช่ฟีดแบ็กที่ดี"
โทนี ชอว์ เจ้าของทีม Manor MP ซึ่งให้โอกาส มักซ์ ได้ทดลองขับ ฟอร์มูลา ทรี เป็นครั้งแรกในสนามทดสอบที่เพมบรีย์ เปรียบเทียบ แวร์สแตพเพน กับ ลิวอิส แฮมิลตัน (ซึ่งได้ลองขับ ฟอร์มูลา ทรี ครั้งแรกกับ Manor เช่นกัน) ว่า ขณะที่ แฮมิลตัน นั้นะดุดันกว่า แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายรอบเพื่อควบคุมรถให้เข้าที่
"มักซ์ เหมือนระเบิดไดนาไมท์ที่จุดติดทันที เขาเร็วเหมือน ลิวอิส แต่คอนโทรลรถได้ดีกว่า และแทบไม่ผิดพลาดเลย จนเราต้องถามว่านี่เขามาทดสอบครั้งแรกจริง ๆ เหรอ?"
จากนั้น พ่อลูกแวร์สแตพเพน ยังไปทดสอบกับทีมในระดับฟอร์มูลา เรโนลต์อีกหลายครั้ง ก่อนตัดสินใจว่าจะขยับข้ามไปเซ็นสัญญากับทีมระดับ ฟอร์มูลา ทรี แทน หลังปรึกษากับ เรย์มอนด์ แฟร์มิวเลน ผู้จัดการของ มักซ์ แล้ว
แวร์สแตพเพน เซ็นสัญญากับ Van Amersfoort และคว้าแชมป์ 10 สนามในปีแรก แม้ไม่เพียงพอจะแซง เอสเตบัน โอคอน นักขับชาวฝรั่งเศสเป็นแชมป์โลกในปีนั้น
แต่ก็มากพอจะทำให้ทีมใหญ่ ๆ ใน ฟอร์มูลา วัน อย่าง เมอร์เซเดส และ เร้ดบูลล์ สนใจ ก่อนเป็นฝ่ายหลังที่เซ็นสัญญาไปร่วมทีม และส่งต่อให้ทีมลูกอย่าง โตโร รอสโซ จูเนียร์ ดึงตัวไปขัดเกลาในปี 2015 และกลายเป็นนักขับฟอร์มูลา วัน อายุน้อยที่สุด ขณะอายุเพียง 17 ปี 166 วัน
[จากพ่อสู่ลูก]
14 เดือนหลังการเดบิวต์ แวร์สตัพเพน ก็เลื่อนขึ้นมาเป็นนักขับในทีมหลักของ เร้ดบูลล์ และคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์แรกในชีวิต ในรายการ สแปนิช กรังด์ปรีซ์ 2016 ขณะอายุเพียง 18 ปี 228 วัน
การเป็นแชมป์กรังด์ปรีซ์ด้วยอายุขนาดนี้ เป็นยิ่งกว่าเรื่องเหลือเชื่อ เพราะปกติ นักขับอาชีพจะค่อย ๆ ไต่ระดับจากคาร์ท สู่ ฟอร์มูลา เรโนลต์ และ ฟอร์มูลา ทรี ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปี กว่าจะได้รับโอกาสในระดับฟอร์มูลาวัน
แต่หลังได้แชมป์โลกคาร์ท มักซ์ ข้ามขั้นไปแข่ง ฟอร์มูลา ทรี ทันที และใช้เวลาที่นั่นเพียงปีเดียว ก่อนถูกดึงสู่การแข่งรถที่เร็วที่สุดในโลก
และเครดิตนั้น ฟาน อเมอร์สฟอร์ท ก็ยกให้กับ ยอส ผู้พ่อที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง
"มันเป็นไปได้ต่อเมื่อคุณมีสุดยอดนักขับเท่านั้น แต่เราไม่ได้พูดถึงโค้ชทั่วไป เพราะ ยอส คือทุกสิ่ง ในฐานะทีม เรารู้ทักษะของเรา แต่ทักษะของพ่อลูกแวร์สแตพเพนนั้นเหนือไปอีกขั้น และเมื่อเราได้ร่วมงานกัน มันจึงนำความสำเร็จมา"
ความมุ่งมั่นของ ยอส ส่งผ่านต่อมาถึง มักซ์ ที่เห็นได้ชัดเจนขึ้นจากท่าทีของเขาทั้งในและนอกสนาม ตรงไปตรงมา มีเป้าหมายที่ความเป็นเลิศสถานเดียว จนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นกับว่าที่นักขับตลอดกาลอย่าง แฮมิลตัน ได้ในปีที่ผ่านมา
ไม่ใช่เพียงแค่ทัศนคติ แม้แต่เทคนิคการขับที่ ยอส ผู้พ่อเชื่อว่าลูกชายพัฒนาขึ้นมาด้วยตัวเอง ระหว่างการขับรถคาร์ท
คนรอบข้างทั้ง ฟาน อเมอร์สฟอร์ท หรือ คริสเตียน ฮอร์เนอร์ หัวหน้าทีมเร้ดบูลล์ ก็สังเกตว่า มักซ์ ได้อิทธิพลจาก ยอส มาไม่น้อย
ฮอร์เนอร์ ซึ่งเคยเป็นนักขับรถคาร์ทรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของ มักซ์ อธิบายว่าแชมป์โลกคนล่าสุด คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความดุดันของพ่อ และมันสมองรวมถึงความอ่อนโยนของแม่ ซึ่ง ฟาน อเมอร์สฟอร์ท เห็นด้วย
"ถ้าเขาเอนเอียงไปทาง โซฟี มากกว่านี้ เขาอาจจะใจอ่อนเกินไป และไม่เหมาะกับวงการนี้ แต่ถ้าเขาดุดันเกินไปแบบ ยอส เขาอาจไปได้ไม่สุดทางแบบพ่อก็ได้ มักซ์ อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน" ฟาน อเมอร์สฟอร์ท สรุป
จนทุกวันนี้ มักซ์ ยังกล่าวแบบติดตลกว่า ยอส คือคนที่กังวล และตื่นเต้นกับทุกการแข่งมากกว่าตนด้วยซ้ำ
"พ่อจะถามตลอดว่าการแข่งสุดสัปดาห์นี้เป็นไงบ้าง ผมก็ได้แค่ตอบว่าพอลงสนามแล้วก็รู้ครับ"
ยอส ยอมรับเรื่องนี้ เมื่อเห็นคำตอบจากลูกชาย "เขามักจะบอกว่าถ้ารถเร็วพอ ก็จะได้แชมป์ ถ้าไม่ ก็ได้ที่สอง มันเป็นบุคลิกที่ทุกคนในทีมต้องการ เขาช่วยให้ทุกคนสงบใจได้"
"เอาจริง ๆ แล้ว เขาไม่เคยกดดัน หรือคิดถึงเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ"


