ดูหนังในโรง หรือ ดูอยู่บ้าน? การเติบโตของวงการสตรีมมิ่ง.....
ภายหลังการระบาดของโควิด กระแสความนิยมในธุรกิจสตรีมมิ่งนับวันยิ่งมากขึ้น แต่แท้จริงนี่คือวงการที่เติบโตอย่างมั่นคงภายใต้ร่มเงาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ สู่วันที่กลับมาพลิกโฉมและเปลี่ยนแปลงการดูหนังไปตลอดกาล
Highlights
- การแพร่ระบาดของโควิดทำให้มีการนำภาพยนตร์ใหม่เรื่องดังลงมาสตรีมมิ่งมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้พยุงผู้ผลิตภาพยนตร์ทั้งหลาย จากการที่ผู้ใช้งานบริการสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
- แท้จริงนี่ไม่ใช่บริการที่เกิดขึ้นไม่นาน แต่ขยายตัวมาพักใหญ่ภายใต้ร่มเงาของวงการภาพยนตร์นับสิบปี โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากบริษัทที่ทุกคนรู้จักกันดี Netflix
- ความสำเร็จของ Original Content ของ Netflix ทำให้สตรีมมิ่งเติบโตเป็นทวีคูณ จนค่ายหนังน้อยใหญ่ทั่วโลกให้ความสนใจพัฒนาสตรีมมิ่งของตัวเอง ก่อนเกิดการระบาดของโควิดเสียอีก
- แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำมาสู่ข้อขัดแย้งและความไม่เห็นด้วยมากมาย รวมถึงเมื่อมีการนำภาพยนตร์เรื่องใหม่ลงฉายสตรีมมิ่งแทนโรงภาพยนตร์ ยิ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงนำไปสู่การฟ้องร้องใหญ่โต
--------------------
นับจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดจนทุกคนถูกบังคับให้อยู่ในบ้าน บริการสตรีมมิ่งถือเป็นช่องทางรับชมภาพยนตร์ที่แพร่หลาย ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ด้วยการนำภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์จำนวนมากอัดแน่น ช่วยให้ผู้คนได้รับชมรายการมากมายโดยไม่ต้องออกจากบ้าน สามารถก้าวผ่านช่วงเวลากักตัวอันยาวนานร่วมกันมาได้
เช่นเดียวกับบรรดาค่ายหนังเริ่มเล็งเห็นว่าบรรดาสตรีมมิ่งเหล่านี้ดูเป็นทางรอด หลังจากไม่สามารถนำหนังฉายหลังจากโรงภาพยนตร์ถูกสั่งปิด ไม่อาจสร้างรายได้จากสินค้าในมือจนบริษัทติดตัวแดงไปตามกัน จึงเริ่มหาช่องทางระบายภาพยนตร์ค้างสต็อกเพื่อสร้างรายได้และไม่กระทบตารางงานในระยะยาว
นำไปสู่การขายภาพยนตร์ให้กับบรรดาสตรีมมิ่งรายใหญ่ อย่าง Godzilla vs Kong เองยังได้รับความสนใจเป็นวงกว้าง มีข่าวว่าสตรีมมิ่งเจ้าดัง Netflix คิดทุ่มเงินกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 6,000 ล้านบาท เพื่อให้ได้รับสิทธิฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ถูกคว้าไปด้วยน้ำมือของ Warner bros ส่งตรงลง HBO MAX สตรีมมิ่งของทางค่ายแทน
ต้องยอมรับว่าการเติบโตแบบก้าวกระโดดของบรรดาสตรีมจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นผลพวงจากการระบาดของโควิด กระนั้นการแพร่หลายได้รับความนิยมเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการระบาด แต่มาจากการอาศัยเวลาวางรากฐานพร้อมกับข้อถกเถียงในวงการภาพยนตร์มายาวนานไม่แพ้กัน
ชื่อแรกที่ทุกคนคิดเมื่อพูดถึงบริการสตรีมมิ่งรับชมภาพยนตร์ย่อมต้องนึกถึง Netflix บริษัทที่เติบโตมาจากอุตสาหกรรมเช่าแผ่นดีวีดีทางไปรษณีย์ พัฒนาแพลตฟอร์มและเว็บไซต์ตัวเองขึ้นมา จนสามารถสร้างรากฐานธุรกิจใหญ่สะเทือนวงการภาพยนตร์ทั่วโลกในปัจจุบัน
ความโดดเด่นของเน็ตฟลิกในยุคแรกต่างจากบริษัทเช่าดีวีดีในสมัยนั้นคือ ระบบสมาชิกรายเดือนที่ทำให้สมาชิกสามารถรับชมภาพยนตร์โดยจ่ายแค่ค่าสมาชิกรายเดือน แต่ไม่จำกัดจำนวนการยืม ไม่มีค่าปรับ และไม่มีกำหนดส่ง ซึ่งส่วนนี้ได้รับการสืบต่อมาเป็นระบบสมาชิกภายในสตรีมมิ่งจนถึงปัจจุบัน
อีกส่วนที่ทำให้เน็ตฟลิกสามารถเข้าถึงคนหมู่มากได้กว้างขวาง มาจากพัฒนาการของระบบอินเตอร์เน็ท แต่ที่ต้องชื่นชมเช่นกันคือทัศนวิสัยของผู้บริหารที่ปรับตัวรวดเร็ว เริ่มจากการเข้าสู่ตลาดดีวีดีแทนม้วนวีดีโอ ขยายบริการให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากทุกช่องทาง ไม่ว่าจะผ่านเครื่องเกม Xbox, โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์ และสมาร์ททีวี
แต่ทั้งหมดยังเทียบไม่ได้กับการตัดสินใจเริ่มสร้าง Original Content ที่สามารถรับชมได้เฉพาะช่องทางของตัวเอง เปลี่ยนผ่านจากเว็บไซต์รับชมภาพยนตร์เข้าถึงง่าย สะดวก มีคุณภาพสูง ให้กลายเป็นตลาดการผลิตภาพยนตร์และซีรีย์คุณภาพมากมาย ดึงดูดความสนใจจากฐานลูกค้าไม่จำกัดแค่ในอเมริกาอย่างเดียวแต่ขยายขอบเขตไปสู่ทั่วทุกมุมโลก
ซีรีย์เรื่องแรกที่ถูกนำมาถ่ายทอดให้รับชมคือ House of card ซีรีย์การเมืองเข้มข้นของนักการเมืองเจนสังเวียน โดดเด่นด้านความยอดเยี่ยมและการจิกกัดสังคมได้อย่างเจ็บแสบ รวมถึงเนื้อหาสีเทาหม่น ผลักดันให้ซีรีย์เรื่องนี้ได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง จนแม้แต่ประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า พูดถึงในทวิตเตอร์ของเขาเลยทีเดียว
ตามมาด้วยการเซ็นสัญญาจับมือกับทาง Marvel ที่ในขณะนั้นกำลังโด่งดังเป็นพลุแตก จากความสำเร็จของ The Avenger กับรายได้หลักพันล้าน ทำให้เน็ตฟลิกไม่พลาดเซ็นสัญญานำเรื่องราวของฮีโร่มาถ่ายทอด คือกลุ่ม The Defenders เรียกเสียงฮือฮา พร้อมซีรีย์ฮีโร่ยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งอย่าง Daredevil เริ่มต้นออกฉายในปี 2015
หลังจากนั้นเน็ตฟลิกก็ไม่ได้หยุดมือยังคงเข็นซีรีย์ออกมามากมาย ด้วยข้อดีในการลงระบบสตรีมมิ่งทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดเรตเท่าโทรทัศน์ ประกอบกับการปล่อยออกมารวดเดียวทั้งเรื่องหรือซีซั่น ทำให้สามารถคงโทนการดำเนินเรื่องโดยไม่ถูกกระแสสังคมยุ่งเกี่ยวได้แต่ต้นจนจบ สิ่งนี้ถูกใจคอซีรีย์หลายคนจนได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง
การเติบโตของเน็ตฟลิกทวีจำนวนมากขึ้นภายหลังซีรีย์ออริจินอลของพวกเขาเริ่มแพร่หลาย โดยปี 2015 พวกเขาได้กำไร 3,900 ล้านบาท ขยายตัวมากขึ้นในปี 2016 จากกำไร 5,900 ล้านบาท ก่อนพุ่งทะยานในปี 2017 ด้วยกำไรกว่า 17,192 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนขึ้นมาเกือบสามเท่า แสดงให้เห็นว่าเน็ตฟลิกจับตลาดอยู่และมาถูกทางขนาดไหน
ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้ค่ายหนังทั่วทุกมุมโลกเล็งเห็นและหันมาให้ความสนใจกับธุรกิจสตรีมมิ่ง ตั้งแต่สามค่ายยักษ์ใหญ่วงการภาพยนตร์ Disney เปิดตัว Disney+ โดยมีตัวชูโรงด้วยแฟรนไชส์ดังอย่าง Marvel กับ Star wars, Warner Bros มาพร้อมกับ HBO MAX รวมถึง Universal ที่กำลังริเริ่ม Peacock ขึ้นมาเป็นช่องทางของตัวเอง
นอกจากสามค่ายนี้แล้ว Apple บริษัทไอทีระดับโลกยังเริ่มผลักดัน Apple TV+ พร้อมปลุกปั้นซีรีย์คุณภาพขึ้นมา เช่นเดียวกับ Amazon เว็บอีคอมเมิร์ซชื่อดังที่ทุ่มเทให้กับ Amazon prime ด้วยการซื้อลิขสิทธิ์ในการทำซีรีย์ The Lord of The Rings กับทุนสร้างกว่า 465 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกระทั่งฝั่งเอเชียก็มี VIU จากเกาหลี และ WETV จากจีนด้วยเช่นกัน
แต่ภายใต้การเติบโตอย่างก้าวกระโดดและความนิยมเหล่านี้เองก็เกิดข้อขัดแย้งขึ้นมากมายภายในวงการ
ภายใต้สถานการณ์โควิด ทำให้หลายค่ายตัดสินใจผลักดันช่องทางสตรีมมิ่งของตัวเอง ด้วยภาพยนตร์ใหม่หลายต่อหลายเรื่อง เริ่มจากดิสนีย์ด้วยการนำ Mulan ลงแพลตฟอร์ม Disney+ พร้อมฉายในโรงภาพยนตร์ ด้วยการเปิดให้รับชมโดยจ่ายเงินเพิ่ม 30 เหรียญ รวมถึงทางวอร์เนอร์ที่นำ Wonder Woman 1984 มาฉายลง HBO MAX ให้สมาชิกรับชมฟรี สร้างความไม่พอใจแก่ทางโรงภาพยนตร์เพราะพวกเขาต้องสูญเสียรายได้ที่พึงมี
แต่กระแสการต่อต้าสตรีมมิ่งเองก็เริ่มมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่ในปี 2019 กับผู้กำกับระดับตำนาน Steven Spielberg แสดงไม่เห็นด้วยกับการให้ภาพยนตร์จากเน็ตฟลิกเข้าชิง Oscar แต่ควรไปชิงรางวัล Emmy สำหรับโทรทัศน์มากกว่า เพราะเขารู้สึกว่างานถ่ายทำของเน็ตฟลิกถูกสร้างขึ้นมาบนเล็กเป็นหลัก แม้ภายหลังแนวคิดจะเปลี่ยนไปทำให้สตีลเบิร์กหันมาเซ็นสัญญาร่วมงานกับเน็ตฟลิกในช่วงปี 2021 ก็ตาม
นั่นไม่ได้ทำให้ข้อขัดแย้งจากทางฝั่งคนวงการภาพยนตร์ลดลง การนำภาพยนตร์เข้าฉายโรงพร้อมลงสตรีมมิ่งหรือคล้อยหลังไปไม่กี่วัน เป็นสิ่งที่โรงภาพยนตร์พากันโอดครวญแสดงความคิดไม่เห็นด้วย เพราะนั่นทำให้รายได้ของภาพยนตร์หลายเรื่องลดลง อย่างกรณีของ The Irishman ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่ได้เข้าชิงออสการ์นับสิบรางวัล กลับไม่สามารถทำเงินได้มากนัก เพราะมีการลงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเน็ตฟลิกหลังเข้าฉายไม่ถึงเดือน
การประกาศในครั้งนั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่โตนอกจากบรรดาโรงภาพยนตร์ออกมาแสดงความไม่พอใจ ทางค่าย Legendary ที่ผลิตภาพยนตร์ Godzilla vs Kong และ Dune รับทราบเรื่องที่ทางวอร์เนอร์จะนำภาพยนตร์ลงสตรีมมิ่งก่อนหน้าสื่อไม่กี่ชั่วโมง โดยไม่มีการตกลงหรือพูดคุยกันมาก่อนทำให้เกือบเกิดการฟ้องร้องคดีความ
เช่นเดียวกับบรรดาผู้กำกับชื่อดังมากมายที่ร่วมงานกับบริษัทออกมาแสดงความไม่พอใจกันล้นหลาม ตั้งแต่ Jame Gunn ผู้กำกับ The Suicide Squad, Denis Villeneuve ผู้กำกับภาพยนตร์ไซไฟ Dune, Lana Wachowski เจ้าของผลงานชื่อก้องโลกกลับมารับหน้าที่ใน The Matrix4 หรือแม้แต่ Christopher Nolan ผู้กำกับคู่บุญทำผลงานโด่งดังกับทางค่ายมายาวนาน ออกมาต่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้แบบไม่ไว้หน้า ก่อนโบกมือลาไปหาค่าย Universal Pictures แทน
ข้อขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงเรื่องระหว่างนักแสดงกับค่ายหนังอีกต่อไป เมื่อทางดิสนีย์ออกมาต่อว่าการกระทำของเธอคือเรื่องน่าเศร้า ไร้ประโยชน์ ไม่ใส่ใจผลกระทบจากโรคระบาด นำไปสู่การโต้เถียงจากทนายคู่กรณีว่า แท้จริงสิ่งที่ดิสนีย์ต้องการมีเพียงการเพิ่มยอดสมัครสมาชิกสตรีมมิ่งและหุ้นของพวกเขา เพื่อกอบโกยรายได้โดยไม่ต้องมาแบ่งปันกับโรงภาพยนตร์เท่านั้นเอง
น่าดูชมว่าข้อขัดแย้งดังกล่าวจะจบลงเช่นไร แม้ทางค่ายหนังอยากพูดคุยและจบเรื่องนี้เป็นการลับ แต่ทางนักแสดงกลับต้องการให้มีการไต่สวนดำเนินคดีในคราวนี้อย่างโปร่งใส เปิดเผยเหตุการณ์ทั้งหมดต่อหน้าสาธารณะชนมากกว่า
แต่ใช่ว่าทุกความขัดแย้งต้องแตกหักกันเสมอไป อย่างกรณี Godzilla vs Kong ที่สุดท้ายสองบริษัทก็สามารถตกลงทำความเข้าใจ ยอมให้ปล่อยภาพยนตร์ฉายในโรงพร้อมลง HBO MAX ได้ จบรายได้ในโรงภาพยนตร์กว่า 100 ล้านเหรียญ ทั้งที่สถานการณ์ระบาดในสหรัฐฯขณะนั้นยังไม่ทุเลานักถือเป็นสัญญาณดี
รวมถึงกระแสของ Shang-Chi ภาพยนตร์ฮีโร่เรื่องใหม่ของมาร์เวล ที่ปล่อยฉายเฉพาะในโรงภาพยนตร์ก่อน ก็ทำรายได้เปิดตัวในประเทศอาทิตย์แรกกว่า 100 ล้านเหรียญ และยังกวาดโกยรายได้ไปอย่างมั่นคงทำให้รายได้รวมทั่วโลกพุ่งไปถึง 300 ล้านเหรียญก็เป็นข้อพิสูจน์ได้เช่นกัน
ว่าต่อให้มีบริการสะดวกสบายในการรับชมขึ้นเพียงไร คนเรายังโหยหาวิถีชีวิตดั้งเดิมก่อนเกิดโรคระบาดอยู่ดี
เกรียงไกร เรืองทรัพย์เดช
--------------------
ที่มา:
- https://akibatan.com/2020/11/hollywood-reporter-netflix-hbo-max-bid-to-stream-godzilla-vs-kong/
- https://victorytale.com/th/netflix-history/
- https://www.matichon.co.th/entertainment/interstars/news_1244999
- https://www.moneybuffalo.in.th/business/%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-netflix-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C
- https://www.beartai.com/lifestyle/600119
- https://brandinside.asia/film-industry-2021-streaming-same-day/
- https://www.gqthailand.com/culture/article/steven-spielberg-netflix
- https://www.moviesrain.com/steven-spielberg-netflix-amblin-deal/
- https://brandinside.asia/netflix-cineworld-the-irishman/
- https://mgronline.com/entertainment/detail/9630000125563
- https://variety.com/2020/film/news/legendary-entertainment-warner-bros-hbo-max-deal-dune-godzilla-1234847605/
- https://deadline.com/2021/09/christopher-nolan-universal-pictures-sets-next-film-j-robert-oppenheimer-development-atom-bomb-world-war-two-1234832975/
- https://variety.com/2021/film/news/scarlett-johansson-sues-disney-black-widow-1235030582/
- https://deadline.com/2021/08/scalett-johansson-disney-lawsuit-black-widow-response-arbitration-1234819262/
- https://www.boxofficemojo.com/release/rl1383892481/?ref_=bo_rl_tab#tabs
- https://www.boxofficemojo.com/release/rl3490022913/


