มติศาลรัฐธรรมนูญชี้ MOA ตั้งรัฐบาลไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องตามมาตรา 49 สองคดี ปมบันทึกข้อตกลง (MOA) พรรคประชาชน–ภูมิใจไทย เหตุไม่มีหลักฐานชัดว่าล้มล้างการปกครอง
KEY
POINTS
- พิจารณาคำร้องสองคดี มาตรา 49 กล่าวหาพรรคประชาชน–ภูมิใจไทยตกลงแบ่งอำนาจอธิปไตย
- ศาลเห็นว่า MOA เป็นเพียงการแสดงเจตจำนงทางการเมืองร่วม ไม่ใช่การล้มล้างระบอบ
- มีมติเอกฉันท์ “ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย” ทั้งสองกรณี
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเปิดเผยว่า ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการพิจารณาคำร้องสำคัญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 รวมสองคดี ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับบันทึกข้อตกลงทางการเมือง (Memorandum of Agreement: MOA) ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย
คดีที่ 29/2568
ผู้ร้องคือนายคงเดชา ชัยรัตน์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน จำนวน 143 คน รวมถึงพรรคประชาชน กระทำการร่วมกับฝ่ายอื่นเพื่อ “แบ่งปันอำนาจอธิปไตย”
โดยผู้ร้องอ้างว่า พรรคประชาชนตกลงจะโอนคะแนนเสียงให้พรรคใดที่พร้อมนำนโยบายของพรรคไปดำเนินการเมื่อได้เป็นรัฐบาล และเสนอให้ยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย พร้อมทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ผู้ร้องเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการบิดเบือนอำนาจบริหารและทำลายกลไกถ่วงดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเข้าข่ายการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แต่อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังไม่เข้าข่ายล้มล้างระบอบการปกครอง จึงไม่ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 วรรคสอง
เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างนายณัฐพงษ์และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นเพียงการเจรจาและแสดงเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน
ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
มติเอกฉันท์ของศาลคือไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
คดีที่ 30/2568
ผู้ร้องคือนายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล (สว.สำรอง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า
การจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่าง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพื่อให้สมาชิกพรรคประชาชนลงคะแนนเห็นชอบนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหารที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และมีลักษณะของการตกอยู่ภายใต้มติพรรคหรือการครอบงำทางการเมือง
ผู้ร้องอ้างว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการก้าวก่ายอำนาจฝ่ายบริหาร และเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
เนื่องจากอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า MOA เป็นเพียงการเจรจาและแสดงเจตจำนงทางการเมืองร่วมกันเช่นเดียวกับกรณีแรก ไม่ปรากฏพยานหลักฐานชัดเจนว่ามีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง
จึงมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เช่นเดียวกัน


