posttoday

“คนละครึ่งพลัส” ความหวังปลุกเศรษฐกิจ–คืนชีวิตฐานรากไทย

09 ตุลาคม 2568

รัฐบาลเดินหน้า “คนละครึ่งพลัส” วงเงิน 4.4 หมื่นล้าน กระตุ้นกำลังซื้อปลายปี หลังเศรษฐกิจฝืดเคือง หวังฟื้นชุมชน–หนุนผู้ค้ารายย่อยสู่ดิจิทัลและระบบภาษี

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจฐานรากซบเซา: ประชาชนขาดกำลังซื้อ ร้านค้าขาดรายได้ เศรษฐกิจท้องถิ่นชะลอตัวต่อเนื่อง 6 เดือน
  • มาตรการคนละครึ่งพลัส: เพิ่มสิทธิ์ ขยายฐาน และผสานการพัฒนาเทคโนโลยีร้านค้า เพื่อเร่งการหมุนเวียนเงินในระบบ
  • ผลทางสังคม: กระตุ้นการใช้จ่าย–เชื่อมชุมชนเข้าระบบดิจิทัล สร้างโอกาสยั่งยืนแก่ผู้ค้ารายย่อยทั่วประเทศ

เมื่อเศรษฐกิจชะลอ–ฐานรากหยุดหายใจ

หากปี 2568 ถูกจดจำว่าเป็น “ปีแห่งความฝืด” ของเศรษฐกิจไทย ก็คงไม่เกินจริงนัก เพราะตลอดหกเดือนที่ผ่านมา (เมษายน–กันยายน) สัญญาณการใช้จ่ายของประชาชนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ร้านอาหาร ตลาดสด และร้านค้าชุมชนหลายแห่งเงียบเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดัชนีราคาสินค้าแทบไม่ขยับขึ้น ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าต่างสะท้อนเสียงเดียวกันว่า “ขายของได้วันละไม่ถึงครึ่งของปีก่อน”

ต้นตอของภาวะนี้มีทั้งจาก ด้านอุปทาน และ ด้านอุปสงค์ ด้านหนึ่งคือราคาสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ที่หลั่งไหลเข้ามาทุ่มตลาดราคาต่ำกว่าทุน ทำให้สินค้าผลิตในประเทศขายไม่ออก ผู้ประกอบการ SMEs และร้านค้าท้องถิ่นขาดสภาพคล่อง

อีกด้านหนึ่งคือพฤติกรรมผู้บริโภคที่หดตัวลงจากภาระหนี้สินสูงและรายได้ไม่เพิ่ม ทำให้คนส่วนใหญ่เลือก “รัดเข็มขัด” มากกว่าจับจ่าย

นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนแม้เห็นว่าไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะ “เงินฝืด” ทางเทคนิค แต่ในมุมของคนทั่วไปกลับรู้สึกได้ถึง “เศรษฐกิจฝืด” อย่างชัดเจน การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันลดลง วงจรเงินหมุนในท้องถิ่นช้าลง ร้านค้าปลีกขนาดเล็กจำนวนมากต้องลดพนักงานหรือปิดกิจการชั่วคราว

นี่คือบริบทที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ตัดสินใจเปิดมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่ออัดฉีดพลังเศรษฐกิจจากล่างขึ้นบน

“คนละครึ่งพลัส” เติมลมหายใจเศรษฐกิจชุมชน

โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ถูกออกแบบมาให้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่ของ การขยายสิทธิ์ผู้ได้รับประโยชน์ และ การเพิ่มขนาดเม็ดเงินในระบบ

ด้วยงบประมาณรวมกว่า 44,000 ล้านบาท ที่รัฐและประชาชนร่วมจ่าย คาดว่าจะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า หนึ่งแสนล้านบาท ซึ่งเป็นแรงขับสำคัญในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

สิ่งที่น่าสนใจคือการ “ขยายฐาน” ผู้เข้าร่วมให้กว้างขึ้น โดยลดอายุผู้มีสิทธิ์จาก 18 ปี เหลือ 16 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนตอนปลายเข้ามามีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ยังปรับอัตราสมทบจากเดิมวันละ 150 บาท เป็น 200 บาทต่อวัน และแบ่งสิทธิ์ตามฐานรายได้ ผู้เสียภาษีจะได้รับ 2,400 บาท ผู้ทั่วไป 2,000 บาท และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1,700 บาท

อีกความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ เปิดให้ผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลเข้าร่วมได้ จากเดิมที่จำกัดเฉพาะรายย่อยเท่านั้น เพื่อให้ธุรกิจท้องถิ่นขนาดกลาง เช่น ร้านอาหารขนาดเล็ก บริษัทบริการ หรือกิจการในตลาดชุมชน มีโอกาสรับประโยชน์จากมาตรการโดยตรง

ขณะเดียวกันรัฐยังเพิ่มมิติใหม่ด้วยการส่งเสริม Upskill–Reskill ให้ร้านค้า เช่น การใช้ AI หรือแอปพลิเคชันบริหารสต็อกและการตลาดออนไลน์ เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าเติบโตต่อได้หลังมาตรการสิ้นสุด

บรรดาหอการค้าและสถาบันวิจัยเศรษฐกิจต่างมองว่า “คนละครึ่งพลัส” จะเป็นมาตรการสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง หอการค้าไทยประเมินว่า หากโครงการเดินหน้าเต็มรูปแบบ จะช่วยหนุน GDP ไตรมาส 4 จากเดิมที่คาดโตเพียง 0.3% ให้ขยับแตะระดับ 1% และจุดประกายบรรยากาศจับจ่ายทั่วประเทศ

ผลสะเทือนถึงราก–เปลี่ยนพฤติกรรมสู่ดิจิทัล

ในเชิงสังคม “คนละครึ่งพลัส” ไม่ได้เป็นเพียงโครงการแจกเงินระยะสั้น แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ คนไทยฐานรากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล อย่างแท้จริง ตั้งแต่ยุค “เป๋าตัง” ในเฟสก่อน ๆ คนในตลาดสด ร้านน้ำชา หรือรถเข็นริมทางต่างเริ่มคุ้นเคยกับการสแกนจ่ายผ่าน QR Code จนกลายเป็นพฤติกรรมปกติในชีวิตประจำวัน

การเปิดรับเทคโนโลยีนี้ส่งผลโดยตรงต่อผู้ค้ารายย่อย เพราะทำให้พวกเขาเข้าถึงฐานข้อมูลลูกค้า เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และสามารถปรับกลยุทธ์การขายได้ตรงจุดมากขึ้น ในระยะยาว ร้านค้าที่อยู่ในระบบมีโอกาสขยายตลาดไปยังช่องทางออนไลน์ สร้างรายได้หลากหลาย และเข้าสู่ระบบภาษีได้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ออกแบบนโยบายที่ตรงกับพฤติกรรมประชาชนได้แม่นยำกว่าเดิม

ในระดับชุมชน โครงการยังช่วย “หมุนล้อเศรษฐกิจท้องถิ่น” ให้กลับมาขยับอีกครั้ง ร้านขายอาหาร ตลาดนัด และกิจการบริการในพื้นที่ต่างจังหวัดเริ่มมีลูกค้าเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายในระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการเงินสดและเสริมความโปร่งใส ขณะเดียวกันยังสร้างความเชื่อมโยงระหว่างรุ่นใหม่ที่ถนัดเทคโนโลยีกับรุ่นเก่าที่เริ่มเปิดใจเรียนรู้ร่วมกัน เป็นการเปลี่ยนผ่านที่สะท้อนพลัง “เศรษฐกิจชุมชนยุคดิจิทัล” อย่างเป็นรูปธรรม

“คนละครึ่งพลัส” ไม่ใช่แค่เงินชั่วคราวในกระเป๋าประชาชน แต่คือเครื่องมือฟื้นหัวใจเศรษฐกิจฐานรากไทย ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยกลับมามีรายได้ เปิดประตูสู่โลกดิจิทัล และสร้างความหวังใหม่ให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเดินหน้าต่อได้อีกครั้ง

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ วูล์ฟ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68