"สุดารัตน์"ลุยตลาดนัดจตุจักร แฉทุจริตค่าเช่าพุ่ง-ห้องน้ำพัง
สุดารัตน์จี้ ป.ป.ช. สอบทุจริตตลาดจตุจักร ค่าเช่าพุ่ง ห้องน้ำพัง เอื้อเอกชนขัดมติ ครม. ขู่ฟ้องหากมีการข่มขู่ผู้ค้า ซัดรัฐเพิกเฉยปัญหาปากท้อง
KEY
POINTS
- คุณหญิงสุดารัตน์ลงพื้นที่ตลาดนัดจตุจักร พบปัญหาการบริหารงานไม่โปร่งใส ค่าเช่าแผงค้าที่พุ่งสูง และสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรม
- มีการเปิดโปงกรณีที่เคยร้องเรียน ป.ป.ช. เกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนเก็บค่าเช่าจากผู้ค้ารายใหม่ในอัตราสูง แต่เรื่องยังไม่คืบหน้า
- ผู้ค้าต้องแบกรับค่าเช่าที่สูงกว่ามติ ครม. กำหนด รวมค่าบริการอื่นๆ แล้วสูงถึงเดือนละ 4,000 บาท และยังเผชิญกับสัญญาเช่าที่ไม่ชัดเจนและค่าปรับที่สูงเกินควร
- ปัญหาสาธารณูปโภคถูกละเลย โดยเฉพาะห้องน้ำสาธารณะที่ปิดปรับปรุงเป็นเวลานาน และเลือกซ่อมแซมในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ค้าและประชาชน
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วยดร.ธวัชชัย ปิยนนทยา ประธานคณะทำงานภาค กทม. ลงพื้นที่ตลาดนัดสวนจตุจักร รับฟังปัญหาความเดือดร้อนจากผู้ค้าโดยระบุว่ามีทั้งปัญหาการบริหารจัดการไม่โปร่งใส ค่าเช่าพื้นที่แพงเกินจริง การเอื้อประโยชน์ให้เอกชน และสภาพแวดล้อมตลาดที่ทรุดโทรม ขณะที่หน่วยงานรัฐเพิกเฉย ไม่ใส่ใจต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
แฉ 3 ปมทุจริต – ร้อง ป.ป.ช. ยังไม่คืบ
ดร.ธวัชชัย เปิดเผยว่า เคยยื่นร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยพบพฤติการณ์น่าสงสัยอย่างน้อย 3 กรณี แต่จนถึงวันนี้เรื่องยังไม่คืบหน้า กลับพบปัญหารุนแรงขึ้น
หนึ่งในนั้นคือ การที่ กทม. ทำสัญญากับบริษัทเอกชนรายหนึ่งให้ดำเนินการตลาดกลางคืนในพื้นที่ 700 แผง โดยเก็บค่าเช่าจากผู้ค้ารายใหม่วันละ 400 บาทในช่วงศุกร์-อาทิตย์ ทั้งที่ยังไม่มีการอนุมัติให้ลดค่าตอบแทนจาก 3.05 ล้านบาท เหลือ 7 แสนบาทต่อเดือน กลับปล่อยให้ดำเนินการไปก่อน เสมือนเป็นการเอื้อประโยชน์เอกชน และรุกล้ำพื้นที่ค้าขายของผู้ค้าเดิม
“โครงการ 30” โดนไล่ที่ อ้างพัฒนาพื้นที่สีเขียว
กรณี “โครงการ 30” พื้นที่ขายสินค้า OTOP บริเวณหอนาฬิกา จำนวน 529 แผง ซึ่งเป็นของผู้ค้าดั้งเดิมตั้งแต่สมัย พลตรีจำลอง ศรีเมือง กลับถูก กทม. พยายามยกเลิกสัญญาโดยอ้างว่าจะพัฒนาเป็นพื้นที่สีเขียว แต่ปรากฏว่ามีความพยายามเปิดประมูลให้เอกชนเช่าในราคาต่ำ สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ค้าที่อยู่มากว่า 20 ปี
ค่าเช่าแผงสวนมติ ครม. ซ้ำเติมผู้ค้า
คุณหญิงสุดารัตน์ระบุว่า แม้ ครม. เคยมีมติกำหนดค่าเช่าพื้นที่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อเดือน แต่หลังจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เข้ารับตำแหน่ง ค่าเช่ากลับพุ่งขึ้นถึง 2,800 บาท ก่อนลดเหลือ 2,300 บาทจากการต่อรองของผู้ค้า ยังไม่รวมค่าบริการอื่นๆ ที่เรียกเก็บแยก เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าเก็บขยะ ค่าขายหัวมุม และค่าล่วงเวลา รวมแล้วผู้ค้าต้องจ่ายถึง 4,000 บาทต่อเดือน ขณะที่โซนศูนย์อาหาร ค่าเช่าพุ่งจาก 1,500 บาท เป็น 4,500 บาท
ต่อสัญญาคลุมเครือ-ค่าปรับโหด
ผู้ค้าเปิดเผยว่า สัญญาเช่าใหม่ไม่มีความชัดเจน ต้องยอมรับเงื่อนไขล่วงหน้าโดยไม่ได้เห็นสัญญาจริง และจะได้เห็นเอกสารฉบับสมบูรณ์ในปีถัดไป บางรายเจอค่าปรับมหาศาล เนื่องจากในช่วงโควิด-19 มีการต่อสัญญาอัตโนมัติ และมีเงื่อนไขค่าปรับ 5% ต่อวันหากจ่ายล่าช้า โดยไม่มีการแจ้งเตือน ทำให้ผู้ค้าบางรายถูกเรียกเก็บค่าปรับหลักแสนถึงหลักล้านบาท
ห้องน้ำพัง-ซ่อมวันหยุด-ไร้รถสุขา
อีกหนึ่งปัญหาเรื้อรังคือ ห้องน้ำสาธารณะในตลาดที่ถูกปิดปรับปรุงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่ยังไม่เปิดใช้งาน แม้จะมีการเก็บค่าบริการ 5 บาท ขณะที่ห้องน้ำที่ยังใช้งานได้มีจำนวนน้อยมาก และกลับเลือกซ่อมแซมในช่วงวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดมีคนใช้บริการมากที่สุด นอกจากนี้ยังไม่มีรถสุขาตามที่ระบุในสัญญา
ขู่ฟ้องหากข่มขู่ผู้ค้า
คุณหญิงสุดารัตน์เรียกร้องให้ ป.ป.ช. เร่งสอบข้อเท็จจริง และได้มอบหมายให้ ดร.ธวัชชัย พาผู้ค้าเข้าพบผู้ว่าฯ กทม. เพื่อหาทางออกเรื่องค่าเช่า ค่าปรับ และปัญหาสาธารณูปโภค พร้อมย้ำว่า หากมีการข่มขู่หรือคุกคามผู้ค้าที่ออกมาเรียกร้อง พรรคจะดำเนินการทางกฎหมายถึงที่สุด
จี้รัฐเลิกนิ่ง – เสนอแจกเครดิตประชาชน
ในภาพรวมเศรษฐกิจ คุณหญิงสุดารัตน์สะท้อนว่า ขณะนี้ประชาชนกำลังเผชิญวิกฤตปากท้อง รายรับไม่พอกับรายจ่าย หนี้ครัวเรือน-หนี้นอกระบบพุ่งสูง ดอกเบี้ยเฉลี่ยแตะ 240% ต่อปี แต่รัฐบาลยังไม่มีมาตรการเยียวยาที่เป็นรูปธรรม
ไทยสร้างไทยเสนอให้นำงบประมาณจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจำนวน 50,000 ล้านบาท มาจัดตั้ง “กองทุนเครดิตประชาชน” ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ 1% ต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยตรง แต่รัฐบาลยังไม่ตอบสนอง
เตือนภาษีนำเข้าสหรัฐฯ กระทบหมูไทย-SMEs
นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยยังแสดงความห่วงใยกรณีการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น หมูจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบผู้เลี้ยงหมูไทยทั้งเรื่องราคาที่สู้ไม่ได้ และความเสี่ยงด้านสุขภาพจากสารเร่งเนื้อแดง พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเจรจาอย่างรอบคอบ และเร่งเปิดตลาดใหม่ให้เกษตรกรไทย
“ปากท้องประชาชนไม่ควรถูกปล่อยให้อยู่อย่างสิ้นหวัง และผู้ค้าในจตุจักรไม่ควรถูกทอดทิ้งจากการบริหารที่ไม่โปร่งใส” – คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว.


