มติบอร์ดไตรภาคีเคาะจ่ายค่าแรงขั้นต่ำตามเดิม2-16บาท
มติบอร์ดค่าจ้าง เตรียมเสนอครม.พิจารณาอีกครั้ง โดยมีมติจ่ายค่าแรงขั้นต่ำตามเดิม 2-16บาท พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงานลั่นไม่แทรกแซง พร้อมรับข้อเสนอไตรภาคี
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ระหว่างที่คณะกรรมการค่าจ้าง ชุดที่ 22 กำลังประชุมหารือถึงมติค่าจ้างขั้นต่ำ ว่า ตามที่ตนได้ตั้งข้อสังเกตถึงการคำนวณอัตราการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่มีการเอาค่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2563 – 2564 ที่มีการระบาดของโควิด-19 มารวมอยู่ในการคำนวณค่าเฉลี่ย ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงปีดังกล่าวนั้น เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำมาก ดังนั้น การเอา 2 ปีมาคำนวณก็ทำให้อัตราค่าเฉลี่ยต่ำลง ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง วันนี้จึงมีการประชุมหารือของไตรภาคีอีกครั้ง ซึ่งจะต้องหารือกันถึงรายละเอียดมากยิ่งขึ้น
“โดยเฉพาะที่ผ่านมามีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในภาพรวมรายจังหวัด แต่การพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำในรายจังหวัดให้ถึงวันละ 400 บาท คงจะมีผลกระทบกับบางภาคธุรกิจ ผมจึงได้ให้นโยบายผ่านปลัดกระทรวงฯ ว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีช่องทางลงไปในรายละเอียดถึงระดับอาชีพ ที่สามารถแยกออกไปและสามารถขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้สูงขึ้น ผมมองว่าส่วนนี้ควรนำมาพิจารณา ไม่ใช่การพิจารณาขึ้นรายจังหวัด แต่ให้พิจารณาเป็นรายอำเภอ หรือรายเทศบาล ซึ่งจะเป็นการลงรายละเอียดมากขึ้น เพราะในบางธุรกิจในบางพื้นที่อาจจะไม่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดังนั้นการประกาศค่าจ้างภาพรวม อาจไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ ดังนั้น ถ้าจะยุติธรรมที่สุดคือ อาจเลือกประกาศรายอาชีพ ฉะนั้นวันนี้ ผมได้ให้ข้อคิดกับปลัดกระทรวงฯ ในฐานะประธานบอร์ดค่าจ้าง แต่ผมในฐานะการเมืองไม่มีสิทธิแทรกแซงหรือชี้นำไตรภาคี แต่สามารถแนะนำฝ่ายข้าราชการได้ ว่าให้คงหลักการในอดีตไว้ แต่ให้ลงในรายละเอียด แต่ทั้งหมดนั้นก็อยู่ที่ข้อสรุปของไตรภาคี” นายพิพัฒน์กล่าว
เมื่อถามว่าเป็นการรื้อโครงสร้างของคณะกรรมการค่าจ้าง เพื่อให้มีการพิจารณาเป็นรายอาชีพหรือไม่ นายพิพัฒน์กล่าวว่า วันนี้เรามีเวลาน้อย ฉะนั้นอาจจะยกมาเป็นบางจังหวัด เช่น จังหวัดที่มีเศรษฐกิจดี หรือรายอำเภอ ไปจนถึงรายอาชีพ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา คณะกรรมการค่าจ้างมีมติสรุปในการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นทั้ง จำนวน 77 จังหวัด ในอัตราเพิ่มขึ้น 2-16 บาท ได้แก่
- จังหวัดภูเก็ต อัตราค่าจ้าง 370 บาท
- กลุ่มจังหวัดภาคกลางและปริมณฑล (รวมกรุงเทพมหานคร) มี 6 จังหวัด อัตราค่าจ้าง 363 บาท ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
- จังหวัดชลบุรี และระยอง อัตราค่าจ้าง 361 บาท
- จังหวัดนครราชสีมา อัตราค่าจ้าง 352 บาท
- จังหวัดสมุทรสงคราม อัตราค่าจ้าง 351 บาท
- จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สระบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ขอนแก่น และเชียงใหม่ อัตราค่าจ้าง 350 บาท
- จังหวัดลพบุรี อัตราค่าจ้าง 349 บาท
- จังหวัดสุพรรณบุรี นครนายก และหนองคาย อัตราค่าจ้าง 348 บาท
- จังหวัดกระบี่ และตราด อัตราค่าจ้าง 347 บาท
- จังหวัดกาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี สงขลา พังงา จันทบุรี สระแก้ว นครพนม มุกดาหาร สกลนคร บุรีรัมย์ อุบลราชธานี เชียงราย ตาก พิษณุโลก อัตราค่าจ้าง 345 บาท
- จังหวัดเพชรบุรี ชุมพร สุรินทร์ อัตราค่าจ้าง 344 บาท
- จังหวัดยโสธร ลำพูน นครสวรรค์ อัตราค่าจ้าง 343 บาท
- จังหวัดนครศรีธรรมราช บึงกาฬ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และเพชรบูรณ์ อัตราค่าจ้าง 342 บาท
- จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี พัทลุง ชัยภูมิ และอ่างทอง อัตราค่าจ้าง 341 บาท
- จังหวัดระนอง สตูล เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี มหาสารคาม ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร พิจิตร อุทัยธานี และราชบุรี อัตราค่าจ้าง 340 บาท
- จังหวัดตรัง น่าน พะเยา แพร่ อัตราค่าจ้าง 338 บาท
- จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา อัตราค่าจ้าง 330 บาท