posttoday

"ประวิตร" ยันไม่ขึ้นเวทีดีเบต ชี้การพูดไม่ใช่วิธีให้ปชช.รับรู้ความสามารถ

02 เมษายน 2566

พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊คต่อกรณีถูกเชิญไปร่วมตอบคำถาม หรือดีเบตในเวทีต่างๆ ว่า ตนยืนยันจะไม่ขึ้นเวทีดีเบต แต่พร้อมตอบคำถามสื่อแบบส่วนตัว พร้อมระบุว่าการพูดไม่ใช่วิธีเดียวที่จะให้ประชาชนรับรู้ถึงความสามารถ

โดยเนื้อหาจากเฟซบุ๊คของพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีดังต่อไปนี้

ในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้าพรรค ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ผมเข้าใจในความปรารถนาดี และให้โอกาสที่ดีเช่นนั้นกับผม เพียงแต่ขอให้ทุกท่านโปรดช่วยเข้าใจผมสักหน่อยเช่นกันครับ

ผมยอมรับว่าประเทศควรจะมี “ผู้นำ”ที่มีความรู้ความสามารถที่สุด เพื่อให้เป็น “ผู้นำที่มีประสิทธิภาพที่สุด” ในการนำพาประเทศสู่การพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง บริหารจัดการให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี

ประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะนำมาแลกเปลี่ยนกัน คือ “ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ”ตามความหมายดังกล่าว “วัดด้วยอะไร”

วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของประชาชนในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน การกำหนดเครื่องชี้วัด “ประสิทธิภาพผู้นำ”จะต้องแตกต่างกันด้วยหรือไม่ “ความรู้ ความสามารถ ความมีประสิทธิภาพของผู้นำ” ประชาชนสัมผัสได้ด้วยอะไร ด้วยวิธีไหน

จริงอยู่ “การพูด”เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้โชว์ความรอบรู้ให้ประชาชนได้รับทราบถึง “ประสิทธิภาพผู้นำ” แต่”การพูด”ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะทำให้ประชาชนรับรู้ถึงความสามารถ ความมีประสิทธิภาพของผู้นำ

ในความเป็นจริงคือ ระหว่าง “ความคิด คำพูด และการกระทำ”อันเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้สื่อสารกับคนอื่น กับสังคม กับโลกภายนอกนั้น “คำพูด”เป็นเครื่องมือสื่อสารที่สะท้อนความเป็นจริงของความรู้ความสามารถได้น้อยที่สุด เพราะ “คนพูดเก่ง”สามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น แม้กระทั่งไม่เคยคิด ได้ง่ายๆ

เพียงแค่คิดขึ้นเฉพาะหน้าว่าพูดอย่างไรจะเป็นประโยชน์กับตัวเอง แล้วใช้ศิลปะพูดโน้มน้าวให้คนฟังเชื่อในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองไม่เคยเชื่อก็ได้ การยืนยัน “ความรู้ความสามารถ”ด้วย “การพูด”ว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่เชื่อได้น้อยที่สุดเพียงแต่การแข่งขันทางการเมือง โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก ความเป็นผู้นำที่ดีหรือไม่” นิยมใช้ “โวหาร วาทกรรม”เป็นเครื่องวัด

การ “ดีเบต”ในความหมายของการ “โต้วาที แสดงโวหาร”จึงเป็นเรื่องสำคัญประกอบกับเป็นวัฒนธรรมสังคมที่สื่อมวลชนมีบทบาท มีอิทธิพลต่อการชี้นำความคิดของประชาชน และ “การดีเบต”เป็นวิธีที่สื่อมวลชนแสดงบทบาทได้โดดเด่น เป็นการสมประโยชน์ของทุกฝ่าย

"ประวิตร" ยันไม่ขึ้นเวทีดีเบต ชี้การพูดไม่ใช่วิธีให้ปชช.รับรู้ความสามารถ

“นักการเมือง”ได้แสดงตัวตน “สื่อ”ได้แสดงบทบาท “ประชาชน”ได้ฟังการ “โต้วาที”ถกเถียงกันของคนมีชื่อเสียง ทั้งที่การ “ดีเบต”ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าการแสดงให้เห็นว่า “นักการเมือง”คนไหน “พูดเก่ง มีไหวพริบในการตอบโต้ได้ดี” ซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับความรู้ความสามารถที่เป็นจริงของนักการเมืองคนนั้นเลยก็ได้

เช่นกัน “ผู้นำ”ที่พูดไม่เก่ง ดีเบตไม่ดี อาจจะมีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับความเป็นไปของประเทศในปัจจุบันมากกว่าก็เป็นได้

ตัวอย่างของประเทศไทยในอดีตคือ พณฯท่าน พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หรือหากมองให้กว้างออกไป ผู้นำที่ทำให้ประเทศจีนเจริญรุ่งเรื่องก้าวขึ้นสู่มหาอำนาจ อย่างท่านประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ก็ไม่ต้องแสดงความสามารถที่เหนือกว่าด้วยการดีเบตกับใคร อาจจะเพราะด้วยเหตุที่ “การพูด”ไม่ใช่การแสดงที่ดีที่สุดว่าใครมีความรู้ความสามารถ มีประสิทธิภาพกว่าใคร ทำให้ “ผู้นำในหลายประเทศ”ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ หรือเล็กลงมา ไม่จำเป็นต้องวัดประสิทธิภาพผู้นำด้วยการดีเบต

ยิ่งในยุคสมัยที่ทุกคนมีช่องทางสื่อถึงประชาชนได้มากมาย การสื่อสาร “ความคิด คำพูด การกระทำ” เพื่อแสดง “ความรู้ ความสามารถ และประสิทธิภาพ”สามารถทำได้ตามช่องทางที่เหมาะสมกับความถนัดของ “ผู้อาสามาเป็นผู้นำ”ของแต่ละคน โดยไม่จำเป็นต้องแข่งขันเอาชนะกันว่าเป็น “ผู้มีความสามารถในการโต้เถียงเก่งกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นคือ “ผู้นำที่มีวุฒิภาวะ”ย่อมรู้ว่าในสังคม ในวัฒนธรรมของประเทศที่แตกต่างกันนั้น มีมากมายหลายเรื่องหากนำมาเป็น”ประเด็นโต้เถียงกัน” ยิ่งสร้างปัญหาเพิ่ม หรือขยายปัญหาให้บานปลายไปไม่รู้จบ

ผู้นำที่ตระหนักถึง การแสดงออกที่เหมาะควรกับความเป็นไปของประเทศ ควรแสดงออกในการกระตุ้นให้ “ทุกฝ่าย” มีสติในการนำสังคมไปอยู่กับการเอาชนะคะคานกันด้วยการโต้เถียง

ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆนี้ ผมได้ทราบข่าวมาว่ามีพิธีกรรายการทีวีชื่อดังระดับประเทศท่านนึง ได้ประกาศเชิญชวนผมกลางอากาศ ให้ผมไปออกดีเบต ผมรู้สึกปลาบปลื้มเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับความปรารถนาดีที่ท่านส่งมาถึงผม

แต่อย่างที่บอกแล้ว ผมเลือกที่จะสื่อสารกับทุกท่านด้วยวิธีที่ผมคิดว่าผมสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะพบปะกับทุกท่านเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดความเห็นกัน แต่ขอเป็นแบบพูดคุยส่วนตัว

ผมพร้อมเสมอสำหรับทุกท่านครับ ก่อนหน้านี้ผมได้แลกเปลี่ยน พูดคุยกับสื่อมวลชนที่ติดต่อมา บางท่านแล้ว

สำหรับท่านอื่นๆ ผมรอเวลาที่ท่านว่างอยู่เช่นกันครับ

ขอบคุณที่ระลึกถึงครับ