ขึ้นเงินเดือน1.5หมื่น"ขรก.ยิ้ม-คลังระทวย"
ชำแหละผลกระทบจากนโยบายปรับเงินเดือนขั้นต่ำบัณฑิตจบใหม่ที่ 1.5หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย ใครยิ้ม-ใครสะเทือน!
ชำแหละผลกระทบจากนโยบายปรับเงินเดือนขั้นต่ำบัณฑิตจบใหม่ที่ 1.5หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย ใครยิ้ม-ใครสะเทือน!
โดย....ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว
นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ด้วยการให้สัญญาจะต้องปรับเงินเดือนให้กับบัณฑิตที่จบใหม่ต้องได้เงินเดือนขั้นต่ำ 1.5 หมื่นบาท นอกจากกระเทือนภาคธุรกิจเอกชนที่ต้องเตรียมรับมือต่อผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้น ยังส่งผลไปถึงผู้ที่เป็นข้าราชการ จะต้องมีการขยับฐานเงินเดือนในส่วนนี้ด้วย
ล่าสุด นนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) เปิดเผยโพสต์ทูเดย์ว่า ก.พ.ได้จัดทำข้อมูลรองรับการปรับฐานเงินเดือน 1.5 หมื่นบาทส่งให้กับทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยไปแล้ว หลักสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการจ่ายของภาครัฐจะจัดสรรได้เพียงใดต่อการปรับฐานเงินเดือนใหม่ เพราะถ้าหากปรับฐานเงินเดือนโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2554 ภาครัฐจะต้องจัดสรรงบประมาณถึง 6.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้การปรับฐานเงินเดือนใหม่ 1.5 หมื่นบาท จะส่งผลให้ข้าราชการที่เข้ารับราชการก่อนที่จะมีการปรับฐานเงินเดือนใหม่ถูกกระทบไปโดยปริยาย ซึ่งรัฐบาลใหม่ก็ทราบปัญหานี้อยู่แล้วโดยกำลังดูตัวเลขส่วนนี้อยู่ เพราะจะกระทบเป็นลูกระนาด อย่างผู้ที่บรรจุรับราชการก่อนปีหน้าได้รับเงินเดือน 9,500 บาทขณะที่อัตราแรกบรรจุ 9,100 บาท ก็ต้องมีการปรับให้เทียบเคียงกับอัตราใหม่
"คนเข้ามาก่อนกี่ปีก็ตาม ก็ต้องปรับ เพื่อไม่ให้คนที่เข้าใหม่สูงกว่าเดิมเพราะจะสูงกว่าถึง 64 เปอร์เซนต์"
"ถ้าปรับเงินเดือนตามที่เป็นข่าว จะต้องมีการแก้ไขพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการ บัญชีแนบท้าย ซึ่งการปรับฐานเงินเดือนที่เกิน 10 เปอร์เซนต์ต้องมีการเสนอร่างกฎหมายเข้าสภา ถ้าเสนอกฎหมายมีผลบังคับใช้ทัน 1 ต.ค.54 จะต้องใช้งบประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาทเพราะเป็นการใช้งบ 12 เดือน แต่ถ้าเริ่มม.ค.2555 ก็จะเหลือ 9 เดือน แต่ถ้าเริ่มปรับเม.ย.55 การใช้งบในจำนวนที่ลดลงคือเหลือ 6 เดือน"
เลขาธิการ กพ. กล่าวว่า ผลดีของการปรับฐานเงินเดือนภาครัฐ จะสามารถทำให้แข่งขันกับภาคเอกชนได้ โดยเฉพาะผู้จบระดับปริญญาตรีทำงานในบริษัทเอกชนรายใหญ่ เช่น บริษัทปูนซีเมนต์ ปตท. อัตราแรกเข้าจะอยู่ประมาณ 1.8 – 2 หมื่นบาท แต่ถ้าปรับฐานเงินเดือน 1.5 หมื่นบาทก็จะใกล้เคียงกับภาคเอกชนขนาดใหญ่และอาจดีกว่าธุรกิจเอสเอ็มอี
นอกจากนี้ก็จะสามารถแก้ปัญหาสมองไหล เพราะที่ผ่านมาเงินเดือนราชการต่ำกว่าภาคเอกชน ซึ่งก.พ.ก็มีแผนให้ปรับโครงสร้างเงินใกล้เคียงเอกชนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ลักษณะก้าวกระโดดเช่นนี้ โดยปีหนึ่งจะปรับไม่ถึง 10 เปอร์เซนต์ แต่เมื่อรัฐบาลใหม่มาก็ต้องการปรับแบบก้าวกระโดด
"สิ่งที่ต้องดูต่อไป เมื่อปรับรวดเดียวจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างไร เพราะถ้าราชการปรับ เอกชนไม่ปรับก็ลำบาก อีกทั้งต้นทุนการผลิตต้องเพิ่มขึ้น"นายนนทิกร กล่าว
เลขาธิการ กพ. กล่าวว่า เมื่อการปรับเงินเดือนสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด จึงมีความจำเป็นต้องเสนอมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพข้าราชการ ซึ่งหมายถึงการประเมินผลการทำงานข้าราชการแบบเข้มงวดมากขึ้น
************************
เมื่อกลับไปดูนโยบายพรรคเพื่อไทย ทางทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยมีวิธีคิดอย่างไร
ก่อนหน้านี้ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเคยเสนอ 3 ทางเลือกในการปรับขั้นเงินเดือนข้าราชการ ได้แก่ 1. การปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการเป็น 1.5หมื่นบาทครั้งเดียว 2. การปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการเป็น 1.5 หมื่นบาทภายใน 2 ปี และ 3. การปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการเป็น 1.5 หมื่นบาท ภายใน 4 ปี ซึ่งการจะเลือกแนวทางไหนขึ้นอยู่กับว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่
ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยพิจารณาไว้ว่า หากมีปัญหาทางงบประมาณก็น่าจะใช้วิธีทยอยขึ้นภายใน 2 ปี ถ้าทยอยปรับเพิ่มเป็น 1.5 หมื่นบาทภายใน 4 ปีก็ยุ่งเพราะในอีก 4 ปีเงินเดือนข้าราชการก็เพิ่มใกล้เคียง 1.5 หมื่นบาทแล้ว ส่วนงบที่ใช้น่าจะตกประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ วิธีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการในสไตล์พรรคเพื่อไทย จะเลือกปรับเพิ่มให้ข้าราชการในส่วนงานที่สำคัญก่อน และข้าราชการแรกเข้าที่บรรจุเข้ารับราชการในวันที่ 1 ม.ค.2555 เป็นต้นไป ซึ่งจะตกปีละไม่เกิน 1 หมื่นคน จะได้ปรับเพิ่มจากอัตราเงินเดือนแรกเข้าที่ 9,140 บาท เป็น 1.5 หมื่นบาททันที คิดเป็นอัตราเพิ่ม 64 %
ส่วนข้าราชการที่ทำงานราชการก่อนหน้านั้น 1 ปี จะได้รับการปรับเงินเดือนในอัตราเท่ากับข้าราชการแรกบรรจุ แต่เงินเดือนจะมากกว่าข้าราชการเข้าใหม่ เพราะเข้าทำงานราชการก่อนหน้านี้แล้ว 1 ปี และข้าราชการกลุ่มนี้จะได้รับการปรับเงินเดือนและเลื่อนขั้นเงินเดือนตามปกติอยู่แล้วประมาณ 6-10%
ขณะที่ข้าราชการที่มีระยะเวลาราชการตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ก็จะได้รับการปรับเงินเดือนเช่นกันแต่ได้เงินจำนวนที่น้อยกว่า เช่น อาจจะเพิ่มขึ้นแค่คนละ 3,000-4,000 บาทต่อเดือน
ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นมุมมองจากฝ่ายสนองนโยบายอย่าง ก.พ.และวิธีคิดจากฝ่ายการเมือง ซึ่งหลังจากมีรัฐบาลใหม่เรียบร้อยคงได้ทราบกัน ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะเคาะออกมาแบบไหน เป็นไปตามสัญญาที่ไห้ไว้ช่วงหาเสียงหรือไม่


